ถอดธรรมบรรยายจากคลิป นวัตกรรมแห่งสติ๔๖ ณ ยุวพุทธิกสมาคม ๒-๘ ส.ค. ๖๐

พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท ณ ยุวพุทธิกสมาคม ๒-๘ ส.ค. ๖๐

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

การปฏิบัติเป็นเรื่องง่าย
แต่ถ้าไม่เข้าใจจะกลายเป็นเรื่องยาก
จะทำอย่างไรให้เข้าใจ?

พระพุทธเจ้าได้ยกเรื่องมรรคแปด
เป็นอันดับแรก
มรรคแปดเริ่มด้วยสัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิแปลว่าเข้าใจ
ถ้าใครเข้าใจถูกก็จะพ้นจากทุกข์
และปัญหาทั้งปวง

ขณะที่ยกมือใครเป็นผู้ยก?
ทุกคนตอบว่าเรายก ไม่ใช่รูปยก
มันจึงผิดตรงนี้
เพราะเราเป็นผู้ยก มันจึงผิดแต่แรก
ที่จริงแล้วไม่มีเรา มีแต่รูปกับนาม

ความเป็นเรามาจากความคิด
ถ้าไม่มีความคิดก็ไม่มีเรา
ทุกคนลองเอามือจับแขนตัวเอง
ให้บีบและปล่อย
มีสองความรู้สึกคือหนักและเบา
ใครเป็นผู้หนักผู้เบา?
เราหรือว่ารูปกับนาม?
หนักคือเกิด เบาคือความเกิดหายไป
ความหนักความเบาเกิดขึ้น
ในขณะบีบและปล่อย
พอปล่อยวางก็จะเบา
ถ้าจะยึดเอามันก็หนัก

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

ในระหว่างปฏิบัติ
ความรู้สึกหนักเบาปรากฏในกายใจตลอดเวลา
การที่จะเข้าใจรูปนามเบื้องต้น
ให้เห็นอาการเหล่านี้ให้ได้ก่อน

ระหว่างความรู้สึกหนักเบาเป็นอะไร?
เป็นความรู้สึก? หรือเป็นเรา? หรือเป็นความคิด?
เฝ้าดูความรู้สึก ร้อน หนาว สบาย ไม่สบาย
วันหนึ่งจะเกิดคลิ้กขึ้นมาเอง
ถ้าเฝ้าดูและสังเกตสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อยๆ
มันจะเป็นความสุข
พอหลุดจากความรู้สึกปั๊บ เข้าไปในความคิดเลย
ผู้ที่ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน
เพราะเห็นคุณค่าของความรู้สึกนี้
แล้วเกิดการทะนุถนอม แต่ไม่ได้ยึด
เพราะความรู้สึกชนิดนี้มันสร้างเองได้ตลอดเวลา
ไม่ต้องไปหาที่ไหน เพียงแต่กลับมารู้จักมันเท่านั้นเอง
เมื่อจิตมาอยู่กับปัจจุบัน
ก็จะทิ้งอดีตอนาคต
ถ้าไม่มีอดีตอนาคต ใจเราก็จะคิดไม่ได้
เพราะความคิดเป็นผลจากความจำ
เรื่องในอดีตอนาคต
ก่อนที่จะเป็นสังขาร
ต้องผ่านสัญญาก่อน (สัญญาว่าคิด)
พอเราไม่ทันความรู้สึกตัว
มันโผล่พรวดเป็นสังขาร วิญญาณ ทันที

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

พระพุทธเจ้าได้ค้นหาวิธีพ้นทุกข์
หลังจากที่เสียเวลาไปหกปีกับลัทธิฤาษีต่างๆ
ภายในคืนเดียวท่านเห็นที่ไปที่มาของจิต
เรียกบุพเพนิวาสานุสติญาณ
สืบย้อนขึ้นไปหลายภพชาติ
เกิดจากการไม่รู้จักตัวนี้เท่านั้นเอง

ท่านสืบค้นต่อไปจนเห็นตัวที่สอง
คือการเกิดดับ จุตูปปาตญาณ
จุติคือการดับ อุบัติคือการเกิด
ตอนแรกท่านเห็นมันออกมาเป็นความคิดก่อน
แต่ไม่รู้ว่าความคิดมาจากไหน ท่านตามไปดู
จากหกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน จนถึงจุดระเบิด
ท่านได้ค้นพบการเกิดดับ
พอมาเห็นตัวนี้ ท่านเห็นโลกทั้งหมดทั้งปวง
โลกเกิดจากจุดสองจุดแค่นี้เอง
คือการเกิดและการดับ
การที่เราได้มาศึกษาเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่วิเศษมาก
จึงไม่อยากให้เสียเวลาไปใส่ใจเรื่องอื่น
วนไปเวียนมาเรื่องคำสอนหลวงพ่อนั้นอาจารย์นี้
ในที่สุดก็มาลงที่เดียวกัน แต่มันอ้อมไกล
หลวงพ่อเทียนท่านชี้มาตรงจุด
ไม่ต้องเสียเวลาอ้อมไปทางอื่น
แต่เนื่องจากแต่ละคนมีวิบากกรรม
ที่มากับความคิด
คนที่มีวิบากกรรมน้อยก็คิดน้อย
คนที่มีวิบากกรรมมากก็คิดมาก
อยู่เฉยๆ ต้องหาเรื่องคิด

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

การทำวิปัสสนา
เป็นการตัดวิบากกรรมเก่าไปเรื่อยๆ
ใช้กรรมเก่าไปเรื่อยๆ
วิปัสสนาชำระสะสางเรื่องกรรมได้เร็วที่สุด

เหมือนเราเป็นหนี้เขาสักล้านหนึ่ง
เราไปค้าขายลงทุนได้กำไรทีละหลายล้าน
หนี้แค่ล้านเดียวเรื่องเล็กมาก
เรื่องที่เราก่อกรรมทำเข็ญมากี่ภพกี่ชาติก็ตาม
ถ้าเรามีโอกาสได้มาปฏิบัติวิปัสสนา
เหมือนได้มาทำยอดของบุญ
วิปัสสนาเปรียบเหมือนทำการค้าได้กำไรสูง
ทำให้มีเงินไปชำระหนี้เวรกรรมต่างๆ
ที่บรรพบุรุษสร้างมา
บุญที่เกิดจากวิปัสสนาจึงเป็นบุญที่สูงสุด
สามารถชำระหนี้กรรมให้ตนเองและบรรพบุรุษได้
การให้ทานรักษาศีล
เป็นเส้นทางให้ไต่มาถึงจุดนี้เท่านั้น
แต่พอมาถึงจุดนี้เรากลับไม่ไปสู่วิปัสสนา
เรากลับไปทำสมถะ บางทีก็หลง
ในยุคนี้ถ้าเราไม่เจอคำสอน
ของครูบาอาจารย์ท่านเหล่านี้มาเปิดเผยมาแสดง
เราก็คงต้องงมกันไปเรื่อยๆ อีกหลายภพหลายชาติ
เมื่อมาพบจุดนี้แล้ว มันไม่มีอะไรจะต้องพูดกันแล้ว
ให้กลับมาค้นหาตัวเองให้เจอ
การค้นหาตัวเองให้เจอมีทางเดียวคือ
ต้องกลับมารู้สึกตัว ไม่มีอย่างอื่นเลย

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

เราเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน
เพราะเราออกไปจากตัวกายใจนี้
เรียกว่าอวิชชา

อวิชชาเป็นตัวต้น คือตัวไม่รู้จัก ตัวไม่รู้เท่าทัน
พอกลับมารู้เท่าทัน
ก็จะหารากของมันได้ง่ายขึ้น
จึงไม่ต้องลังเล
ถ้าเรารู้และเข้าใจอย่างถูกต้อง
เราจะรู้สึกรักและทะนุถนอม
ในการจับความรู้สึกตัวเล่นๆ ไปเรื่อยๆ
ไม่ต้องไปทำจริงทำจัง แต่ทำไม่หยุด
ทำแบบกัดไม่ปล่อย เก็บสะสมไปเรื่อยๆ
ชีวิตจะค่อยๆ เปลี่ยน
เหมือนเรายกหินก้อนใหญ่
เรามาเจริญสติ
เหมือนเราได้สอดไม้คานไว้ใต้หิน
ถ้าเราประคองไปเรื่อยๆ ไม่ปล่อย
ทำอะไรก็จับความรู้สึกไปเรื่อยๆ
ไม้คานก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งก็จะพลิกได้
จิตเปลี่ยนจากภาวะที่เป็นปุถุชน
มาเป็นอาริยชน ความเห็นก็จะเปลี่ยน
ความเห็นที่เคยเห็นว่าเราเป็นตัวเป็นตน
เป็นประตูแรกที่เราจะต้องเปลี่ยนความเห็น
จากความคิดว่าเป็นเรา
ให้เห็นว่าเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง
เรียกว่าเห็นธรรม
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย อาศัยซึ่งกันและกัน

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

ตัวอย่างง่ายๆ ที่เรามีความรู้สึกตัวได้
เพราะอาศัยกองดิน อาศัยกองน้ำ
อาศัยกองลม อาศัยกองไฟ
มาผสมผสานกันได้พอดิบพอดี
ก่อให้เกิดอีกสองธาตุคือ
อากาศธาตุและวิญญาณธาตุ

อาศัยกองธาตุทั้งหกส่วนนี้ มาผสมผสานกัน
ในอัตราส่วนที่พอดี เกิดตัวรู้ขึ้นมา
ตัวรู้โดยรวมๆ เรียกว่าวิญญาณ
มันต้องมารู้เรื่องของเวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ ที่เกิดมา
กลไกตัวรู้แยกเป็นห้าส่วน
รูปที่เป็นสมถะและรูปที่เป็นวิปัสสนาต่างกัน
รูปที่เป็นสมถะเรียกว่ารูปธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ถ้าไปเพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ เรียกว่าเป็นสมถะ
คือเอารูปเป็นอารมณ์
แต่พอเรามาเจริญสติ ต้องเอารูปที่เป็นความรู้สึก
ไม่ใช่รูปธาตุแต่เป็นรูปขันธ์ เป็นกองของความรู้สึก

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

ขณะนี้ความรู้สึกทั้งหมด
ตั้งแต่หัวจรดเท้าเกี่ยวกับรูป
มีแค่สองคือหนักและเบา
เย็นและร้อน สบายและไม่สบาย

ความหนักก่อให้เกิดความไม่สบายใจ
ความเบาก่อให้เกิดความสบายใจ
ถ้าเราตามรู้ว่านี่คือรูปกับนามเท่านั้น
ให้มันจบที่หนักเบาแค่กาย
แต่ด้วยการที่เราไม่มีการฝึกฝน
ในเรื่องวิปัสสนามาก่อน
เราไปคิดว่าความรู้สึกหนักและเบา
สบายไม่สบาย เป็นเรา
ทันที่ที่คิดว่าความสบายไม่สบายเป็นเรา
จากรูปที่เป็นรูปธาตุ
จะเปลี่ยนเป็นรูปที่สองคือนามรูปทันที
จากรูปนาม ถ้าสติไม่รู้เท่าทัน
มันเปลี่ยนเป็นนามรูปทันที
เพราะนามรูปเป็นรูปของความคิด
รูปนามไม่มีในปฏิจจสมุปบาท
เหตุของทุกข์จะเกิดขึ้นได้
ต้องเปลี่ยนรูปนามเป็นนามรูปก่อน
อวิชชาก่อให้เกิดสังขาร
สังขารก่อให้เกิดวิญญาณ
วิญาณก่อให้เกิดนามรูป
รูปนามไม่ใช่สมุทัย
แต่เป็นธรรมชาติที่เกิดโดยกฎของไตรลักษณ์
แต่นามรูปไม่ใช่ธรรมชาติ
มันเกิดจากผลพวงที่เราไม่รู้จักรูปนาม

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

จิตไปสำคัญรูปนามเป็นเรา
ก่อให้เกิดเป็นนามรูป คืออัตตาตัวตน
ตัวเราของเรา ฉัน เกิดตรงนี้เอง

คนที่ไม่รู้เรื่องนี้ เกิดมาตายเปล่าๆ
บางทีสร้างบาปสร้างกรรม
ต่อภพต่อชาติไปอีกไม่รู้เท่าไร
แต่ถ้ามารู้เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิต
จะได้ลดวิบากกรรม ลดภพชาติให้สั้นลงมา
จากที่เราไม่รู้เลยว่าอีกกี่ภพกี่ชาติ
ให้เหลือแค่เจ็ดชาติก็ยังดี
สั้นเข้ามาหน่อยเหลือสักสามสี่ชาติ
สั้นกว่านั้นอีกเหลือสักชาติเดียวพอ
สมัยพุทธกาล จึงพยายามดึงเด็กๆ เข้ามาศึกษา
สามเณรอายุสิบขวบก็ยังได้บรรลุธรรม
สามารถช่วยเผยแผ่ธรรมะได้ยาวนาน
การมาศึกษาปฏิบัติธรรม
ไม่ได้มาบำเพ็ญอะไรเป็นพิเศษ
แต่มาทำความรู้จักความรู้สึกชนิดที่ว่านี้
ให้ชัด อย่าให้ไขว้เขว
ความรู้สึกตัวหมายถึง
ความรู้สึกทั้งกายและใจรวมกัน
ความรู้สึกกายความรู้สึกใจรวมกัน
เรียกว่าความรู้สึกตัว
ความรู้สึกตัวนี้คือรูปนามนั่นเอง
เมื่อจับความรู้สึกได้ เราก็จะอยู่กับรูปนาม

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

ทุกครั้งที่ทำอะไร เราตามรู้
จับความรู้สึกอยู่ รูปนามก็ปรากฏ
จนกระทั่งทุกครั้งที่เราทำอะไรก็ตาม
พูดอะไรก็ตาม ตามรู้สิ่งนั้นไปเรื่อยๆ
เหมือนกับเราได้ภาวนาตลอดเวลา

แม้จะทำงานทั้งวันไม่มีเวลาหยุดเลยก็ตาม
ถือว่ายังภาวนาอยู่
เพราะจิตไม่ได้ออกไปสูวัตถุที่สอง สาม สี่
จิตยังอยู่กับวัตถุที่หนึ่ง
เมื่อก่อนจิตเราอยู่กับวัตถุที่สอง สาม สี่
แต่เมื่อรู้จักรูปนามแล้ว
จิตของเราอยู่ที่วัตถุที่หนึ่งคือกายกับใจ
ในวิธีการนี้ เราสามารถเข้าใจว่า
วิปัสสนาใช้ได้หรือไม่
อย่างน้อยต้องจับความรู้สึกที่อยู่กับตัว
เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
สามสิบเปอร์เซ็นต์อยู่กับวัตถุที่สองที่สามก็พอ
แต่ถ้ากลับข้างกัน
ความรู้สึกไปอยู่กับวัตถุที่สองสาม
เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
อยู่กับตัวแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ เสี่ยงที่จะหลุด
เพราะอำนาจของความเคยชินสูง
เผลอนิดเดียวไปอยู่กับเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ข้างนอกหมดเลย

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

ในวิธีการหลวงพ่อเทียน
ต้องตั้งไว้ที่ตัวก่อนเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
จะล้างถ้วยล้างชาม ถูบ้านกวาดบ้าน
จับตรงนี้ให้ชัด

อยู่กับวัตถุที่หนึ่งคือรูปนาม
ตราบใดที่ยังจับความรู้สึกที่ตัวได้ชัดเจน
อารมณ์รูปนามก็ยังต่อเนื่องอยู่
ความรู้สึกตัวยังต่อเนื่องอยู่
การเกี่ยวข้องกับวัตถุที่สอง สาม สี่ ห้า
เป็นทักษะที่ทุกคนชำนาญอยู่แล้ว
ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมาก
เพราะทุกคนโดยสัญชาตญาณมีอยู่แล้ว
เราเคยสัมผัสกับสิ่งนั้นมา
ถ้าเราสามารถรักษาความรู้สึกตัวไว้ที่ตัวเอง
ประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ก็ยังเจริญไปเรื่อยๆ
ในความรู้สึกตัวมีทั้งศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ในตัว
แต่เราต้องทำอย่างพออกพอใจ ไม่ใช่ฝืน
ทำอย่างรัก อย่างทะนุถนอม
ด้วยความรู้คุณค่าของมัน ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งสูงสุด
เวลาทำอะไรต้องเรียกร้องหาเขา
ว่าต้องตั้งสติให้ดีก่อน
ชีวิตของเราก็จะเริ่มมีความสุขตั้งแต่วันนั้นเลย
ไม่ต้องรอวันข้างหน้า

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

มีคนถามว่าปฏิบัติเบาๆ สบายๆ อย่างนี้
มันจะไปถึงมรรค ผล นิพพาน ได้อย่างไร?

มรรค ผล นิพพาน ไม่ต้องไปถึง
ทำให้มันเกิดขณะนั้นเลย
มรรค ผล นิพพาน มันเกิดและดับตรงนั้น
นิพพานแปลว่าดับ
รู้เกิดรู้ดับ นิพพานก็ปรากฏแล้ว
แต่ทำให้มันเยอะๆ เป็นนิสัย
เป็นเนื้อเดียวกับชีวิต
นิพพานไม่ต้องถึงเพราะมันมีอยู่แล้ว
จะเดินตามหาลมหายใจให้ถึง ไม่มีทางเจอ
เพราะตัวเรากับลมหายใจเป็นอันเดียวกัน
เช่นเดียวกัน เราไม่ต้องไปตามหานิพพาน
เพราะนิพพานมีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว
เพียงแต่รู้จักและใช้มันเท่านั้นเอง
ทำอะไรก็ทำด้วยนิพพาน
ตามรู้ตามดูความเกิดความดับของร่างกาย
ไม่ใช่เป็นเรื่องยาก แต่เรามักจะสงสัย
เพราะฟังมาหลายครูบาอาจารย์
มันง่ายจนคิดว่าไม่น่าจะใช่
กลายเป็นความคิด

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

สิ่งที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นคือ
สิ่งที่เอามาสอนกันมากๆ
แล้วเราไม่เข้าใจ ทำไม่ได้

สมัยที่หลวงพ่อพุทธทาสฯมาเทศน์ในกรุงเทพ
ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นภูเขากั้น
ไม่ให้คนเข้าถึงพระนิพพาน เป็นเรื่องเลย
เราไปเข้าใจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แบบสมมติ
เราไปเข้าใจว่าพระพุทธคือทองคำ
พระธรรมคือใบลาน
พระสงฆ์คือลูกหลานชาวบ้าน
แต่ที่จริงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
คือศีล สมาธิ ปัญญา ที่เราสัมผัสในแต่ละขณะ
เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
คือพึ่งความรู้สึกตัวที่กำลังเกิดแต่ละขณะ
เอาใจมาอยู่กับตัวนี้
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ในขณะที่เราทำ เรารู้หรือไม่
ตื่นหรือไม่ เบิกบานหรือไม่
ถ้ามันง่ายแบบนี้แล้วไปทำให้มันยากทำไม
สมัยก่อนพระพุทธเจ้าสอนเรื่องสติปัฏฐานสี่สำนักเดียว
แต่เดี๋ยวนี้สอนสติปัฏฐานสี่เป็นร้อยๆ สำนัก
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสำนักไหนถูกหรือผิด
ก่อให้เกิดความสับสน

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

เราจะทำอย่างไรให้เรื่องยากเป็นเรื่องง่าย
อาตมาอยู่วัดก็ทำโน่นทำนี่ไป
ได้ทั้งงานได้ทั้งการปฏิบัติ
คนที่มาศึกษาเรื่องนี้ก็มีที่พึ่ง

ถ้าคนทั้งประเทศมานั่งหลับตากัน
ก็ไม่ต้องทำอะไร
ลืมตาค้าขายทำอะไรก็ตาม
ให้รู้สึกตัวเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
ถ้าหลงลืมตัวไป
เหลือแค่ห้าเปอร์เซ็นต์สิบเปอร์เซ็นต์อยู่กับตัว
คุณก็หลุดแล้ว นิพพานก็ถูกบดบัง
เราไปอยู่กับการเกิดมากกว่าการดับ
แต่ถ้าอยู่กับตัวเอง ให้เห็นการเกิดการดับ
ความสุขความทุกข์
ความสบายความไม่สบายปรากฏแต่ละขณะ
โดยสัญชาตญาณมันจะเลือกเอง
ระหว่างสบายกับไม่สบาย คุณจะเลือกอะไร
ระหว่างถูกกับผิด คุณจะเลือกอะไร
ระหว่างหนักกับเบา
โดยสัญชาตญาณมันจะเลือกเอง
จิตจะสมดุลในตัวเอง ทำให้มันพอดี

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

จะลุก จะนั่ง จะย่าง จะเดิน
ให้จิตมันสัมผัสความรู้สึกตัวชัดๆ
อย่าไปคิดว่าความรู้สึกตัวป็นของเรา
มันเป็นของมีอยู่แล้ว
แต่ให้ทำความรู้จักเท่านั้นเอง

เมื่อเรารู้จักแล้ว มันก็ใช้ได้ตลอดเลย
เพราะมันมีอยู่แล้ว แต่ทำไมเราต้องลังเล
เพราะไปถามอีกอาจารย์หนึ่ง
ท่านก็บอกไม่ใช่มันผิดตำรา เราชักไว้เขวแล้ว
ให้มั่นใจในตนเอง ให้สัมผัส ให้พิสูจน์ด้วยตัวเอง
ว่าถ้ารู้สึกอย่างนี้แล้วเป็นอย่างไร สบายหรือไม่
รู้สึกอย่างนี้แล้วมันคิดมากหรือไม่
ฝึกไปมากๆ ก็เหลือแต่รู้จักคิด
รู้จักจัดการคิด
ความอยาก ราคะ โทสะ โมหะ
ถ้าไม่มีความคิดเป็นที่เกิด พวกนี้มันเกิดไม่ได้
เมื่อจัดการราคะ โทสะ โมหะได้
ความทุกข์ทางใจเกิดขึ้นไม่ได้
แต่ความทุกข์ทางกายไม่เป็นสมุทัย
ความทุกข์ทางกายเป็นธรรมชาติที่มีมาก่อน
พระพุทธเจ้าก็ยังทุกข์อยู่
ความทุกข์จากนามรูปเป็นสมุทัย
เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
เพราะมันเห็นยากรู้ยาก
ความทุกข์ที่เกิดจากรูปนามเราพอตามรู้ทัน
บางอย่างก็รู้ไม่ทัน
ความไม่สบายทางกายเราพอรู้ทันเป็นบางครั้ง
โดยรวมรู้สึกเท่าที่ทนได้
ถ้ารู้สึกว่าทนไม่ได้แต่เราฝืนทน
ร่างกายรับไม่ได้ ใจจึงต้องรับช่วงต่อ
ใจต้องหาทางออก

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

เห็นบ้างลืมบ้างไม่เป็นถิรสัญญา
ถิรสัญญาหมายความว่าเห็นต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
เห็นหนัก เบา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่ง ตึง
สบาย ไม่สบาย พับตา อ้าปาก หายใจ

รับรู้ต่อเนื่องไป
ก็จะเปลี่ยนจากสัญญาเป็นสติ
จากสติเปลี่ยนเป็นสัมปชัญญะ
จิตไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนไปคิดเรื่องอื่น
ต่อเนื่องไปเป็นสมาธิ
จากเวทนาที่สัมผัสได้ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่ง ตึง
ถ้าไปรู้เรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
รู้หนัก เบา สบาย ไม่สบาย
ให้เห็น ณ ปัจจุบันไปเรื่อยๆ
มันจะกลายเป็นสัญญาใหม่
สัญญาเก่ารู้แป็บเดียวแล้วลืม
จะเปลี่ยนเป็นความคิดเลย
แต่พอตามรู้ความรู้สึกตัว
ที่เป็นความรู้สึกเย็น ร้อน อ่อน แข็งทางกายไปเรื่อยๆ
มันเปลี่ยนเป็นตัวรู้ตัวใหม่เรียกว่าสติ แปลว่าระลึกรู้
การระลึกรู้ที่ขยายวงกว้างจากหัวจรดเท้า
เรียกว่าสัมปชัญญะ
จิตที่ตั้งมั่นอยู่กับความรู้สึกนี้นานๆ เรียกว่าสมาธิ
พอมีอะไรมากระทบ
ปัญญาเกิดความรู้เท่าทันโดยอัตโนมัติ
เหมือนเปิดไฟตาก็เห็นเอง ไม่ต้องเสียเวลาเพ่ง
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเหมือนแสงสว่าง
พอมีอะไรมากระทบจิตจะรู้สิ่งนั้นโดยอัตโนมัติ
เหมือนเราเปิดไฟ ตาก็ทำหน้าที่
พอมีแสงสว่างแห่งสติสัมปชัญญะปั๊บ
ปัญญาทำหน้าที่ของมันเอง
ดังที่หลวงพ่อเทียนเปรียบเหมือนแมวกับหนู

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

ความคิดไม่มีความหมายถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน
ถ้าจะใช้งานไม่ต้องใช้ความคิดแต่ใช้ความรู้
คนส่วนใหญ่ใช้ความคิด ไม่ได้ใช้ความรู้
ความคิดต่างจากความรู้อย่างไร?

ความคิดเกิดโดยอดีตอนาคต
แต่ความรู้เกิดโดยปัจจุบัน
ตัวปัจจุบันทำให้เกิดแสงสว่างคือปัญญา
เราใช้ปัญญาทำ พูด คิด ไม่ต้องใช้ความคิด
พอเรามีสติ
มันเปลี่ยนความคิดให้เป็นปัญญาได้เลย
แต่ถ้าขาดสติ
มันจะเปลี่ยนปัญญาเป็นความคิด
สติสัมปชัญญะจึงเป็นกุญแจดอกเอก
ถ้ามีสติสัมปชัญญะอยู่
เปลี่ยนความคิดให้เป็นปัญญาได้
ถ้าขาดสติสัมปชัญะ
ปัญญาเปลี่ยนเป็นความคิด
ความคิดและปัญญาเป็นวัตถุดิบตัวเดียวกัน
เพียงแต่เราจะเปลี่ยนมันได้หรือไม่ได้
ปลาตัวเดียวกัน
ปลาดิบคือความคิด ปลาสุกเป็นปัญญา
ถ้าไปทำลายความคิด ปัญญาก็ไม่เกิด
เพราะปัญญากับความคิดเป็นเรื่องเดียวกัน
อยู่ที่ตัวแปลง
เราต้องหาตัวแปลงไม่ใช่ไปตัดความคิด
ตัวแปลงคือสติสัมปชัญญะที่เราฝึกอยู่
ให้มันชัดไว้เสมอ
เป็นตัวแปลงความมืดให้เป็นแสงสว่าง
ห้องนี้ไม่ได้หายไปไหน
เป็นที่อยู่ของความมืดและแสงสว่าง
บางครั้งมืด บางครั้งสว่าง
อยู่ที่ตัวแปลงของมัน

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

การเพิ่มกำลังของสติสัมปชัญญะก็คือ
คอยมาจับความรู้สึกเหล่านี้
เห็นความรู้สึกเหล่านี้เกิดอย่างไร ดับอย่างไร
ไม่ใช่เรื่องยาก เป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ
แต่ที่กลายเป็นเรื่องยากเพราะมันไม่รู้

ความรู้สึกตัวเป็นเรื่องสนุกในการที่จะเรียนรู้
สนุกในการนั่ง สนุกในการเดิน สนุกในการดื่ม
สนุกในการกิน ด้วยความรู้สึกตัว
อย่าไปอยู่กับความคิด
ถ้าอยู่กับความคิดปั๊บมันจะเป็นเรื่องขึ้นมาทันที
เรื่องเขา เรื่องเรา เรื่องอดีต เรื่องอนาคต
เรื่องได้ เรื่องเสีย มันจะปรุงไปของมัน
พอกลับมาที่ความรู้สึกตัว
ความคิดเหล่านี้จะหายไปทันที
เรามาตอกย้ำทำบ่อยๆ
จนกระทั่งความรู้สึกกับตัวเราเป็นสิ่งเดียวกัน
ความรู้สึกกับตัวคิดเป็นเรื่องเดียวกัน
แต่มันไม่ง่ายตรงที่ว่า
เราอยู่กับสัญชาตญาณความหลงลืม
มาตลอดชีวิต
เราต้องต่อสู้กับความเคยชิน
ที่เรียกว่าสัญชาตญาณให้ได้
ด้วยการจับความรู้สึกตัวบ่อยๆ

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

คอยระมัดระวัง คอยสำรวมระวัง
ไม่ถึงกับต้องไปตั้งใจเพ่ง
ให้มันรู้อย่างต่อเนื่องจริงจัง

ให้รู้แบบสบายๆ รู้แบบผ่อนคลาย
จับได้เท่าไรก็รู้เท่านั้นไปเรื่อยๆ
รู้ให้ชัดในแต่ละครั้ง อย่าไปรู้แบบผิวเผิน
ตั้งเจตนาในการจับ การวาง
ตลอดเวลาเราต่อสู้กับความเคยชินของตัวเอง
เผลอปั๊บไปเลย ตั้งสติใหม่
ที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดจนถึงวันนี้
เพราะความเคยชินที่เรียกว่าอวิชชา
เราอยู่กับมันมาตลอด
เราเกิดเพราะมัน และทุกข์เพราะมัน
ถ้าเราไม่พบคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราก็เป็นอย่างนี้
บางชาติเกิดเป็นสัตว์ บางชาติเกิดเป็นคน
บางชาติเกิดเป็นเทวดา
บางชาติเกิดเป็นพระอินทร์พระพรหม
บางชาติเกิดเป็นสัตว์นรก เวียนอยู่อย่างนี้
พอมาเจอวิปัสสนา
จะออกจากภพชาติเหล่านี้ไม่ยาก
แค่ออกจากความคิดและอารมณ์เสีย
มาอยู่กับความรู้สึก พอมาอยู่กับความรู้สึก
ความคิดก็ทำงานไม่ได้แล้ว

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

ความคิดเกิดเพราะเราลืมตัว
ลืมปัจจุบัน อดีตอนาคตก็มา
นำเรื่องนี้ไปตรวจสอบให้แจ้งแก่ใจตนเอง
ว่ามันจริงหรือไม่ แล้วเราทำได้หรือไม่

ถ้ารู้ว่ามันจริงแต่ทำไม่ได้เพราะอะไร
เริ่มจากเรื่องง่ายๆ ก่อน
นั่งแล้วรู้สึกหนัก พลิกไปรู้สึกเบา ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่จะทำอย่างไรให้มันรู้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
พอเผลอปั๊บไปแล้ว
เราต่อสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็นคือความเพลิน
ทำอย่างไรให้เรามองเห็นมัน
ก็คือจะต้องมากระตุ้นเตือนตัวเองบ่อยๆ
จะลุก จะนั่ง จะย่าง จะเดิน จะกิน รู้ไปเรื่อยๆ
พอนานเข้ามันเริ่มจับได้ไว
ไม่ใช่ทำช้าๆ เอื่อยๆ
ในระยะการฝึกเราฝึกอย่างช้าๆ ก่อน
แต่พอนานเข้ามันจะไว
ถึงจะไวเท่าใดก็รู้สึกได้ชัด
เราต้องการให้ไวและแม่นยำชัดเจน
ที่แล้วมาเราไวแบบไม่แม่นยำ ผิดเป้าไปหมด
แต่พอเราฝึกฝนแล้ว มันจะไปตรงเป้าเลย
ยิ่งไวเท่าไรยิ่งดี

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

สติแปลว่าลูกศร
รากของคำว่าสติ มาจากสะระธาตุ
สะระแปลว่าแล่นหรือวิ่ง สมัยนี้เป็นลูกปืน
ถ้าลูกปืนวิ่งช้าจะไม่ทันเป้าหมาย
มันจะต้องวิ่งไวที่สุด

ทำไมท่านจึงเอาเรื่องสติกับลูกศรเป็นเรื่องเดียวกัน
เพราะมันแปลว่าแล่น วิ่ง เหมือนกัน
แต่สติมันแล่นไปยิงจิตที่มันคิดให้ทัน
คิดปั๊บสติต้องยิงความคิดตกทันที
แต่ถ้าสติช้ายิงความคิดไม่ทัน
ถูกความคิดยิงเราทำให้คิดจนปวดหัว
เราจึงต้องฝึกสติให้ไวที่สุด
พอมันทำท่าคิดปั๊บ อดีตอนาคต
สติต้องรู้ทันปั๊บ ยิงพัวะ
ตกกลางอากาศ ความคิดดับทันที
สะระธาตุ เป็นไปตามกฎของภาษา
ถ้าไปลงวิภัติปัจจัยบางตัว จะถูกบังคับ
ถ้าไปลงติปัจจัย ตัว ร ที่ลงท้ายจะต้องถูกฆ่า
เหลือตัวหลักธาตุเดียวคือ ส
ตัวสติก็ยึดพื้นที่เลยทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ธาตุ
แต่เป็นปัจจัย แต่มันยึดพื้นที่ของ ร
เป็นสติ ที่แปลว่าแล่น
แต่พอมันไปลง ณ ปัจจัย
ตัว ร ยังอยู่เหมือนเดิม เช่นคำว่าสรณะ
คำว่าสรณะกับคำว่าสติมาจากธาตุเดียวกัน
สรณะแปลว่าที่พึ่ง ที่ระลึก
“พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ”
ถ้าเมื่อใดเรามีสติ เรามีที่พึ่ง
สติคือพระพุทธ
พอเจริญสติอย่างเดียว เรามีทั้ง
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
เป็นเรื่องเดียวกัน

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

อย่าไปคิดอะไรมากมาย
ในวิธีการหลวงพ่อเทียนท่านไม่ให้คิด
แต่ท่านให้รู้

ถ้าเจริญสติแล้วเรายังใช้ความคิดอยู่
แสดงว่ายังใช้วัตถุดิบไม่ถูกงาน
ต้องเปลี่ยนความคิดให้เป็นปัญญาให้ได้
โดยมีสติและสัมปชัญญะเป็นตัวแปร
ถ้าสติสัมปชัญญะมากเท่าไร
วัตถุดิบคือความคิดก็จะถูกแปรเป็นปัญญา
คือแสงสว่างได้มากเท่านั้น
การเจริญสติจึงทำน้อยไม่ได้ ต้องทำตลอดเวลา
หลวงพ่อเทียนบอกว่า
ทำอะไรที่ไม่เกิดปัญญาอย่าเสียเวลาทำ
ดูหนังฟังเพลงถ้ามันเกิดปัญญาก็ทำไป
แต่ถ้าไปนั่งกรรมฐานมันไม่เกิดปัญญา
ก็อย่าไปทำให้เสียเวลา
ปัญญาคือรู้เท่าทันอะไร
ที่กำลังเกิดกำลังดับในตัวเอง
Direk Saksith
www.buddhayanando.com
f: พระพุทธยานันทภิกขุ (goo.gl/Nyk2ap),
พลิกใจให้ตื่นรู้ (goo.gl/rPzyfo),เซนสยาม (goo.gl/heEHDK),
หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท (goo.gl/QDxgyj),
Dynamic Meditation (นวัตกรรมแห่งสติ) goo.gl/zZTixP