จิตเกิดดับไวแค่ไหน?

จิตเกิดดับไวแค่ไหน?

ถาม:

 
การเห็นความเกิดและดับ
ของความคิดนั้นคือ…
ตัวรู้ที่เข้าไปเห็นการเกิดและการดับ
ซึ่งมันใช้เวลาเพียงไม่ถึง 2 วินาทีเท่านั้น
ใช่มั๊ยเจ้าคะ
 

ตอบ:

 
ไม่ใช่ การเกิดดับของจิต
เห็นไม่ได้ด้วยการคิดและคาดคะเน
เหมือนการหลับตาและลืมตา
ไม่อาจนับเป็นวินาทีได้
 
แต่ผู้ได้บรรลุจุตูปปาตญาณทัศนะเท่านั้น
จะรู้เห็นได้
ซึ่งเร็วกว่าวินาทีด้วยซ้ำไป
 

นักภาวนาหลับลึกตื่นรู้

ประเด็นคำถามของ “นักปฏิบัติพ่อลูกอ่อน”

หลวงพ่อครับ คนภาวนานี่หลับน้อยลงใช่ไหมครับ เขาหลับกันวันละกี่ชั่วโมงครับ ผมหลับ 3 ทุ่ม จะตื่นประมาณเที่ยงคืนครับ แต่มันเหมือนกับนอนหลับไปนาน 7-8 ชม.ครับ ไม่ง่วงเลย. ตาสว่าง ดูนาฬิกามันยังเที่ยงคืน ก็เลยตามดูลมหายใจจนหลับ ตื่นอีกทีตี1 ครึ่ง ก็ไม่หลับ ลุกนั่งสร้าง จังหวะบนที่นอนครับ แต่ทำงานทั้งวันมันไม่เหนื่อยนะครับ

ตอบประเด็นข้อสังเกต

เมื่อจิตสงบแบบตื่นรู้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีนิวรณ์ใดๆ มารบกวนให้จิตขุ่นมัว เวลาหลับจะหลับได้ลึกและสนิท ร่างกายผ่อนคลาย จิตก็ผ่อนคลาย มันจะตื่นเร็ว เพราะจะมีพลังปีติหล่อเลี้ยงจิตตลอด เหมือนต้นไม้ที่ได้น้ำฝนตกต้นฤดูกาลใหม่ๆ ถึงนอนน้อย เมื่อตื่นก็รู้สึกสดชื่นแจ่มใส ไม่งัวเงียง่วงเหงาตอนกลางวัน สมาธิแบบนี้จะตั้งมั่นได้นาน เกิดพลังชีวิตอย่างมั่นคง ถ้ารักษาตัวตื่นรู้ได้ต่อเนื่องเสมอๆ จึงขออนุโมทนาสาธุด้วย

เห็นสักแต่ว่าเห็น

ถาม:

เดินจงกรมแล้วเห็นคนอื่นกำลังเดินจงกรมเช่นกัน มีคำว่า “วัตถุ” ผุดขึ้นในใจ มีความหมายว่าอะไร และต้องปฏิบัติต่ออย่างไรครับ ขอความกรุณาด้วยครับ

ตอบ:

เวลาทำความต่อเนื่องด้วยสัมมาสติไปนานๆ ญาณปัญญาเบื้องต้น มันจะผุดพรายขึ้นมาในใจเป็นระยะๆ แต่ไม่ใช่ความคิด มันเป็นอาการของการเกิดดับปรากฏช่วงสั้นๆ แต่ถ้าเก็บอารมณ์ต่อเนื่องกันนานๆ ก็จะปรากฏบ่อยขึ้น ประการสำคัญ ถ้าเกิดอาการรู้อย่างนี้ ให้เจริญสติไปเรื่อยๆ อย่าใส่ใจ คิดปรุงแต่งต่อเติมอะไรลงไป รู้แล้วก็ปล่อยไปเลยๆๆ สักวันหนึ่ง อาการเกิด-ดับของจริงจะปรากฏชัดเจน ก็จะเห็นปรมัตถ์ นั้นคือเบื้องต้นของอริยมรรค ที่จะให้เราได้เห็นต้นทางแห่งพระนิพพานในทางสายนี้ต่อไป

 

เจริญสติแบบไฮเทค

 

ถาม:

เราต้องเจริญ สติ สมาธิ ปัญญาพร้อมๆ กันเลย อันนี้โยมเข้าใจถูกต้องรึเปล่า เจ้าคะ?

ตอบ:

การเจริญสติที่ถูกต้อง ต้องประกอบด้วยสมาธิและปัญญาเสมอ เพราะมันจะช่วยควบคุมความอยาก ไม่ให้ลุกลามตามอำนาจของกิเลสตัณหา จะว่าไปแล้ว ความอยากตามสัญชาตญาณ มันปรากฏแทบตลอดเวลาเลยทีเดียว ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
ดังนั้น ทุกข์จึงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เมื่อเผลอคล้อยตามความอยากไป แม้เพียงเวลาสั้นๆ ก็ตาม ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “สติ สัพพัตถะ ปัจจะยา” สติเป็นสิ่งจำเป็นต้องมีตลอดเวลา ถ้าไม่อยากทุกข์มากกว่านี้ ต้องพยายามเจริญสติกันให้ตลอดเวลาเลยทีเดียว คนไม่รู้วิธีเจริญสัมมาสติ ต้องทุกข์อย่างแน่นอน การทำงานของสัมมาสติ เสมือนการทำงานของเครื่องยนต์ ที่จัดตั้งระบบหรือ reset ไว้ลงตัวแล้ว ทำงานได้ถูกต้องแม่นยำรวดเร็วมาก เรียก Psychotexnology หรือไซโคเทคโนโลยีทางจิตเลยทีเดียว

พระพุทธยานันทภิกขุ