ปฐมาจารย์เซนแห่งประเทศสยาม ตอนที่ ๓

อนุปัสสนาหรือพิจารณากันแน่?

นักปฏิบัติต้องทำความเข้าใจตรงนี้ให้ชัดเจนก่อน ตามหลักสติปัฏฐานสูตร ท่านก็บอกให้เจริญกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา คือ ให้เฝ้าดูหรือตามดูกาย เฝ้าดูเวทนา เฝ้าดูจิต เฝ้าดูอารมณ์ ตามดูหรือเฝ้าดู มิใช่พิจารณาดูหรือคิดดู ว่ากันตามหลักสูตรทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ เดี๋ยวจะว่าทิ้งหลักของพระพุทธเจ้า ตามดูกายส่วนไหนบ้าง ท่านกำหนดให้ตามดูทั้งหกส่วน แต่ก็ดูแบบรวมๆ มิใช่แยกส่วนดู แต่ตามหลักทฤษฎีท่านก็ต้องเขียนไว้แบบนี้

1.ให้ตามดูลมหายใจ

2.ให้ตามดูอิริยาบถ 4 คือ ยืน เดิน นั่ง นอน

3.ให้ตามดูการเคลื่อนไหวส่วนย่อยทุกส่วนของกายคือ คู้ เหยียด เคลื่อนไหว สร้างจังหวะ เดินจงกรม เหลียวซ้ายและขวา เป็นต้น

4.ให้ตามดูธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ

5.ให้ตามดูอาการ 32 ในตัวของเรา

6.ให้ตามดูอสุภะ ความสกปรกของร่างกายเรา

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

วิธีตามดูกายานุปัสสนา

ด้วยวิธีตามลมหายใจในที่นี้ ไม่จำเป็นต้องนั่งดูแบบพุทโธ แบบสัมมาอรหัง หรือ ยุบหนอ พองหนอดอกนะ ให้ตามดูลมหายใจเข้าหายใจออกเฉยๆ ให้รู้เท่านั้นเอง ไม่ต้องไปกำหนดเพ่งจ้องอะไร แต่ให้ตามรู้สึกไปเรื่อยๆ

การตามดูความรู้สึก
กับการเคลื่อนไหว
เราก็รู้สึกตัวไปทั่วๆ
จะไปเพ่งแต่ลมหายใจอย่างเดียว
มันไม่ได้มันไม่พอ
 
เมื่อมีอะไรมากระทบ
ให้รู้สึกตรงไหน
แล้วก็ตามดูตรงส่วนนั้นๆ
แต่ลมหายใจก็เป็นส่วนหนึ่ง
ในหลายๆ ส่วน
 
จะเน้นตามดูลมหายใจ
เมื่อจำเป็นต้องเน้นเท่านั้น
 
เพราะฉะนั้นวิธีดูกาย
กับการเคลื่อนไหวนี้
เราจะตามดูให้ทั่วพร้อมทั้งหมดเลย
เช่น กระพริบตา อ้าปาก หายใจ
เหลียวซ้ายแลขวา ก้มเงย
หยิบขยับ จับฉวย ก้าวหน้า ถอยหลัง
ท่านใช้หมดเลย
 
แล้วส่วนไหนหนักหน่วง
ก็ตามดูตรงนั้นก่อน
แก้ไขตรงนั้นก่อน
 
ที่ต้องเคลื่อนไหวก็เพราะมันเป็นทุกข์
และหลักอริยสัจบอกให้เรารู้ว่า
ทุกข์ต้องกำหนดรู้ ต้องแก้ไข
เอาใจใส่ เฝ้าดู
และศึกษาแก้ไขไปเรื่อยๆ
ไม่ให้หลบ ไม่ให้หนี
 
พอพูดแบบนี้ บางคนก็สรุปเอาง่ายๆ ว่า
หลวงพ่อเทียนไม่สนับสนุน
การกำหนดลมหายใจ ไม่ใช่
 
แต่หลวงพ่อสนับสนุนการตามรู้เฉยๆ
กายส่วนไหนรู้สึกชัดก็รู้ ตามรู้ส่วนนั้น
ส่วนไหนไม่ชัด ก็ไม่จำเป็นต้องตามรู้มัน
 
บางครั้งเราจำเป็นต้องขึ้นสู่ที่สูงๆ
ลมหายใจมันเด่นชัดก็ดูลมหายใจ
เวลาเราจะนอนหลับแต่ยังไม่หลับ
เราก็ตามดูลมหายใจไปเรื่อยๆ ก็ได้
นี่คือวิธีตามดูกายส่วนที่หนึ่ง

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

วิธีตามดูเวทนานุปัสสนา

วิธีตามรู้ดูเวทนานุปัสสนา
แบบเคลื่อนไหวกันบ้าง
เมื่อใดเรารู้สึกอบอ้าวหรือเจ็บปวด
ตามส่วนต่างๆ ของกาย
ก็ตามดูความรู้สึกนั้นไป

รู้สึกเย็นก็ตามดูอาการเย็น
รู้สึกเมื่อยก็ตามดูอาการเมื่อย
เรานั่งปฏิบัติมานานเป็นชั่วโมงแล้ว
รู้สึกเมื่อยขา หรือเหน็บกินขา
ปวดหลังปวดเอวก็ตามดูมัน

ถ้าอาการเข้มจนทนไม่ไหว
ก็แก้ไขกันไป
แก้ไขไม่ได้ก็ตามดูเหตุปัจจัยของมัน
และตามรู้ไปเรื่อยๆ
การตามดูแบบนี้เรียก ดูเวทนา

ขณะที่ตามดูเวทนานี้
เฝ้าดูอย่างใกล้ชิดเข้าไปอีกหน่อยว่า
ทุกขเวทนาตัวนี้บีบคั้นทางกายฝ่ายเดียว
หรือบีบคั้นจิตไปด้วย

ถ้าจิตเริ่มคิดปรุงแต่ง
เตลิดออกไปข้างนอก
หรือรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ รำคาญหน่อยๆ
แต่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน
ว่าเกิดจากอะไร

ก็ตามไปดูอย่างถี่ถ้วนชัดเจนทีเดียวว่า
คิดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะอะไร
จิตมีอาการอย่างนี้เพราะอะไร
ต้องตามหาเหตุอย่างใกล้ชิดทีเดียว
เรียกว่า มีโยนิโสมนสิการ

อาจารย์กรรมฐานบางสำนัก
ท่านสอนให้พิจารณารู้ตามกฎของไตรลักษณ์
ให้มองเห็นว่าอาการเหล่านี้
มันเป็นอาการของอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา

ถามว่าตามดูด้วยความคิดแบบนี้
จะถูกต้องไหม? สำนักไหนเขาสอนให้ดู
และกำหนดแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ
แล้ววิธีหลวงพ่อเทียนจะว่าอย่างไร
มักจะถามกันบ่อยๆ นักแล

ถ้าผู้เขียนจะถามกลับว่า
ก็ตามดูมันเฉยๆ ไม่ได้หรือไง
ดูว่ามันเจ็บอย่างไร ทุกข์อย่างไร
เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
อาการมันหนักเป็นอย่างไร
มันเบาเป็นอย่างไร
เกิดขึ้นอย่างไร หายไปอย่างไร
อาการร้อนมันเป็นอย่างไร
อาการหนาวมันหนาวเป็นอย่างไร
หิวเป็นอย่างไร รู้สึกอิ่มมันเป็นอย่างไร เป็นต้น

จะตามดูอาการของกายของจิตไปเรื่อยๆ
แบบนี้ไม่ได้หรือ
ทำไมต้องไปคิดพิจารณาให้ยุ่งยากล่ะ

บางคนก็รู้ดีเกินไปก็ถามว่า
ไม่พิจารณาอย่างนี้จะเกิดปัญญาได้อย่างไรล่ะ
ผู้เขียนก็ตอบแทนทีเล่นทีจริงว่า
คุณจะเอาปัญญาหรือคุณจะต้องการรู้ความจริง
ของกายของใจกันแน่
ผู้ฟังก็แสดงอาการงงๆ เหมือนกัน

ถ้าผู้เขียนจะบอกว่า นักปฏิบัติถูกอบรมกันมาผิดๆ
รู้กันมาผิดๆ และก็ผิดมานานแล้วด้วย
แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าหาญบอกความจริงเรื่องนี้
เพราะกระแสส่วนใหญ่เขาสอนกันอย่างนี้

ถ้าไปพูดแบบนี้อาจารย์กรรมฐานก็กลัว
จะถูกกล่าวหาว่าเพี้ยนบ้าง สอนผิดบ้าง
น่าสลดจริงๆ

พระกรรมฐานที่แท้ ก็ต้องกล้าทวนกระแสสังคม
กล้าทวนกระแสกิเลส
และกล้าทวนความจริงแบบโลกๆ
ถ้าเราไปสอนแบบทวนกระแส
ก็เกรงภาพพจน์อาจารย์กรรมฐานจะเสีย

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

 

วิธีตามดูธัมมานุปัสสนา

วิธีตามดูความรู้สึกตามอารมณ์ (ธรรม)
ให้สังเกตว่า
อารมณ์อันไหนปรากฏชัด
ให้ดูอารมณ์อันนั้น
 
ถ้าเรานั่งท่านี้ตะคริวจับขา
ก็กลับมาสำรวจดูที่ใจก่อนว่า
ใจรู้สึกอย่างไร ใจคิดอย่างไร
กับอาการที่ตะคริวจับตรงขา
 
ดูให้ถูกที่จริงๆ ว่าตะคริวจับที่ขา
หรือจับที่จิต หรือจับที่รูปนามกันแน่
 
หันกลับมาดูตรงนี้ให้ชัดๆ ก่อน
อะไรที่เหน็บให้เจ็บปวดกันแน่
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

อีกตัวอย่างของการตามดูธรรม

เมื่อเรานั่งปฏิบัติไปนานๆ
แล้วรู้สึกง่วงหรือเคลิ้มสลึมสลือ
 
ตอนแรกๆ ให้สังเกตการนั่ง
ของเราเสียก่อนว่า
เรานั่งแช่ในท่าเดิม
นานเกินไปหรือเปล่า
 
ข้อต่อมาให้สังเกตว่า ขณะนั่งปฏิบัติ
เราเผลอหลับตาทำในบางครั้งหรือเปล่า
เราสร้างจังหวะช้าไปหรือเปล่า
ความรู้สึกตัวขณะนั้นชัดหรือเปล่า
เผลอบังคับหรือสะกดจิตให้นิ่ง
อยู่ในอารมณ์สมถะนานไปหรือเปล่า
 
การลงมือปฏิบัติแต่ละครั้ง
ต้องไม่ลืมข้อสังเกตเหล่านี้
เพราะเงื่อนไขเหล่านี้คือสาเหตุ
ให้เกิดอาการง่วงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
ถ้าละเลยต่อเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ง่วงแน่นอน
 
แต่ถ้าความง่วงมีกำลังมากกว่าจริงๆ
ต้องรีบแก้ไขเอาความง่วงออกไปก่อน
บางคนไม่สนใจแก้ไข ยอมนั่งสัปหงก
สับแล้วสับอีก ก็ง่วงอยู่อย่างนั้น
 
นี่เรียกว่า เราไปมีอารมณ์ร่วมเสพกับมัน
และส่วนใหญ่ก็ง่วงเพราะเหตุนี้
ถ้าไม่เสพติดความง่วงนอน
ก็แก้ได้ง่ายมาก
 
ดังนั้นให้สำรวจทุกครั้งว่า
เราเสพติดจริงหรือเปล่า
ถ้าเสพติดเสียแล้ว
ความง่วงเหงาก็มีอำนาจเหนือเราอยู่ดี
และแก้ยากเสียด้วย
เพราะเราไม่อยากจะแก้นั่นเอง
 
และตัวอย่างในการแก้นิวรณ์ตัวอื่น
ก็ใช้การสังเกตและแก้ไข
แบบเดียวกันกับแก้ง่วง
ใช้แก้นิวรณ์ได้ทุกตัวตัวเลยทีเดียว
 
เริ่มแก้ที่ต้นเหตุกัน คือเฝ้าสังเกต
ตามเงื่อนไขที่ให้ไว้เบื้องต้น
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

วิธีเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียน

วิธีการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวนี้
ผู้ปฏิบัติสามารถสัมผัสกับสติ
ที่เป็นความรู้แจ้งภายใน
หรือวิญญาณปัญญาได้ไว
 
เพราะขบวนการฝึกฝนไม่เน้นพิธีกรรม
เน้นการกำหนดรู้ เฝ้าดูทุกข์โดยตรง
แม้การกำหนดรู้
ก็ไม่ให้ทำแบบบังคับกดเกร็งเพ่งจ้อง
ไม่เปิดโอกาสให้จิตอยู่กับนิวรณ์
หรือเผลอมากจนเกินไป
 
ที่สำคัญคือไม่จำกัดอิริยาบถในการฝึก
ไม่นิยมนั่งหลับตาเพราะจะทำให้ง่วงง่าย
 
หรือจากผ่านการฝึกไปแล้ว 4 วัน
นิวรณ์จะจางคลาย
ตัวรู้ที่เป็นสติจะแยกออกจากตัวคิด
ที่เป็นสังขารได้ค่อนข้างชัดเจน
 
สติจะรู้เองโดยที่เราไม่ต้องกำหนดรู้
จิตมีสภาวะสงบแบบจิตตื่น
ไม่ใช่สงบแบบจิตหลับ
เกิดการชำระจิตที่สั่งสมอารมณ์มาในอดีต
ที่เกิดเพราะโมหะจิตเป็นสัมมาทิฐิ
มีตาในเข้าใจปัจจุบัน
 
รู้เท่าทันอารมณ์ปรุงแต่งที่จักเกิดขึ้นในอนาคต
จิตจะเกิดปัญญาปล่อยวาง
หรือคลายทุกข์ในขั้นที่เรียกได้ว่า
เป็น “การสำรอกกิเลส” เลยทีเดียว
 
เพราะตัวรู้มีความเร็วเท่าทันตัวคิด
สังขารจึงไม่ถูกปรุงแต่ง
อาการของไตรลักษณ์จะปรากฏชัดมาก
คิดเท่าไรดับได้เท่านั้น
เป็นปัจจุบันธรรมจริงๆ
 
ตัวรู้จะกลายเป็นปัญญาวิราคะธรรม
หน่ายต่อความหลงในการสร้างภพชาติในจิต
เข้าใจอุปาทาน แล้วเกิดการสลัดตัวเอง
ออกจากอุปาทานนั้นอย่างรุนแรง
จิตจะสว่างแจ่มแจ้ง มีความผ่องใส
มีอิสระในวิหารธรรม
 
คงความเป็นผู้รู้ได้เองโดยธรรมชาติ
ไม่สงสัยในเรื่องราวของชีวิต
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

เจริญสติในอิริยาบถเดิน

สำหรับ “การเดินจงกรม”
ให้ก้าวเท้าตามปกติ
ไม่เร็วไม่ช้า ไม่ยาวไม่สั้น จนเกินไป
ให้พอดีกับที่เราเดินตามปกติ
 
เอามือไขว้หลัง
หรือจับกันไว้ด้านหน้าก็ได้
ไม่ไกวแขวน
 
เดินไปเดินกลับในทางตรง
ประมาณ 10-12 ก้าวก็พอ
ไม่ต้องมีคำบริกรรมประกอบการเดิน
 
สติระลึกรู้เท้าขณะสัมผัสพื้น
ทุกครั้งไปเรื่อยๆ
รู้เป็นธรรมชาติ อย่าจดจ้อง
ทำสลับกับการนั่งสร้างจังหวะ
 
แต่ละครั้งใช้เวลาช้านาน
ขึ้นอยู่กับอินทรีย์ของแต่ละบุคคล
 
ขณะปฏิบัติหากมีความคิดเกิดขึ้น
ก็ให้รู้แล้วปัดทิ้ง
แล้วกลับมาอยู่กับความรู้สึกตัว
กับอิริยาบถที่กำลังเคลื่อนไหว
อยู่ขณะนั้นทันที
 
เฝ้าดูเฝ้ารู้ ทำให้ต่อเนื่อง
ทำให้มากๆ ทำจนถึงธรรม
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

เจริญสติในอิริยาบถยืน

วิธีเจริญสติด้วยอิริยาบถยืน
จะทำการสร้างจังหวะ 14 จังหวะ
และกำหนดสติให้มีความรู้สึก
อยู่กับมือที่เคลื่อนไหว
 
เหมือนกับการนั่งสร้างจังหวะ
เพียงแต่เปลี่ยนอิริยาบถจากนั่ง
มาเป็นยืนเท่านั้น

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

เจริญสติในชีวิตประจำวัน

เมื่อเราขึ้นรถหรือลงเรือ
เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว
เราก็พลิกมือขึ้นพลิกมือลง

เราเคลื่อนมือเหยียดมือหรือคลึงนิ้วมือ
กะพริบตา หายใจ กลืนน้ำลาย และอื่นๆ
ให้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเช่นนั้น

เป็นวิธีที่เรียกความคิดนั้น
และปล่อยวางความคิดเสีย

สามารถเจริญสติกับการดำรงชีวิตอื่นๆ
เช่น เมื่อทำงานบ้าน ล้างจาน
ทำควาวมสะอาดบ้าน อาบน้ำ
กินข้าว ดื่มน้ำ นอนหลับ ฯลฯ

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

เจริญสติแบบเคลื่อนไหว ต้องไม่ดัดจริต

อยากจะบอกว่า
ในวิธีการของหลวงพ่อเทียนนั้น
เน้นการเคลื่อนไหวแบบธรรมชาติ
และปกติอย่างมีสติ
 
มิใช่ปกติอย่างขาดสติ
เป็นวิธีที่เหมาะกับกาลเทศะ
จะลุกจะนั่งแต่ละที
ก็ไม่ต้องไปบริกรรมให้ยุ่งยาก
 
ไม่ต้องดัดจริตนึกว่า
จะลุกหนอๆ จะเดินหนอๆ ฯลฯ
เพราะจิตไปตั้งนานแล้ว
ต้องตามรู้มันให้ทัน
 
วิธีนี้จึงเหมาะสมสำหรับผู้ปฏิบัติ
ทุกเพศทุกวัยและทุกจริตด้วย
 
เพราะบางคนชอบอ้างว่า
วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่มีจริตแบบนี้
วิธีนั้นเหมาะสำหรับคนที่มีจริตแบบนั้น
 
หรือเรามักได้ยินว่า
“ผมทำไม่ได้เพราะไม่ถูกจริต”
อันนั้นเป็นข้ออ้าง
เป็นเสียงของกิเลสมันพูด
ไม่ใช่คนที่เข้าใจมาพูด
 
กิเลสของเรามันฉลาด
และมีเหตุผลพอๆ กับปัญญา
ที่ไม่ได้เกิดจากศรัทธา
เป็นปัญญาของกิเลส
ที่ชอบพูดเอาตามใจตัว
 
เมื่อรู้ว่าเป็นจริตที่ไม่ดี
ก็ตัดมันออกไป
อย่าไปดัดให้งอไปงอมาไม่ได้
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

การสร้างจังหวะเป็นเพียงอุปกรณ์ เป็นเพียงเครื่องมือ

การยกมือสร้างจังหวะแบบนี้
เป็นเหมือนเครื่องมือทำงาน
หรืออุปกรณ์ช่วยผ่อนแรงเท่านั้นเอง
 
เวลาเราจะรับประทานอาหาร
เช่น จะทานก๋วยเตี๋ยวก็ใช้ตะเกียบ
จะทานข้าวเจ้าก็ต้องใช้ช้อนส้อม
จะดายหญ้าก็ใช้จอบเสียม
จะทำความสะอาดก็ใช้ไม้กวาด เป็นต้น
 
เป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆ
ใครๆก็เข้าใจได้
ไม่ได้เกี่ยวกับจริตนิสัยอะไรเลย
 
เพราะการทำวิปัสสนาเป็นการรักษา
หรือกำจัดโรคภัยของจิต
คือขจัดกิเลสให้หมดไปจากจิตใจ
มิใช่เป็นการฝึกวิชาอาชีพ
ที่จะต้องใช้ความถนัด
หรือจริตนิสัยชอบ
เหมือนกับเล่นดนตรีเล่นกีฬา
อะไรทำนองนั้น
 
ฉะนั้นการรักษาแผลกิเลส
เหมาะสมสำหรับคนทุกจริตนิสัย
การอ้างเรื่องจริตแบบนั้น
จึงเป็นการพูดแบบไม่เข้าใจ
 
เป็นข้ออ้างของกิเลส
มิใช่ปัญญาแน่นอน
 
การบัญญัติเรื่องจริตกรรมฐาน
เป็นเรื่องกำหนดกันขึ้นทีหลัง
มิใช่พุทธพจน์
 
ไม่เชื่อก็ไปหาดูในพระไตรปิฎก
ไม่ปรากฏว่าพระพุทธองค์ได้เคยตรัสไว้ที่ไหน
หรือใครเจอก็เอามาเขียนไว้
แล้วอ้างที่มาให้ชัดเจน
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ต้องฝึกใช้อุปกรณ์ให้เป็น

การเจริญแบบเคลื่อนไหว
ด้วยการเคลื่อนไหวมือเป็นจังหวะๆ
เป็นอุปกรณ์เพื่อเรียงลำดับตัวรู้
อันเกิดจากการตามสังเกตด้วยปัญญา
เข้าสู่ใจอย่างมีระบบระเบียบเท่านั้นเอง
 
เพราะถ้าไม่มีสติรู้สึกตัวเสียก่อน
ความรู้ต่างๆ ที่เข้ามาสู่จิต
ด้วยปัญญาของกิเลสนั้น
ไม่เป็นระบบระเบียบ
เพราะกิเลสมันไม่รู้จักเลือก
 
ความรู้ของกิเลส
เหมือนความรู้ของเด็กทารก
หรือปัญญาของคนตาบอด
ไม่รู้จักวิธีจัดการสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง
 
เราจึงใช้การสร้างจังหวะเป็นเครื่องมือ
เพื่อป้อนสติสัมปชัญญะและปัญญา
เข้าไปสู่จิตอย่างมีระบบ
 
เหมือนการรับประทานอาหาร
สติก็เสมือนลิ้นที่คอยเลือกอาหาร
ที่เหมาะสมก่อนกลืนลงไปสู่ท้อง
 
เราไม่ต้องตะขิดตะขวงใจว่าอาหารนั้น
จะไปขวางหรือทำลายอวัยวะภายในของเรา
 
ดังนั้นการปฏิบัติแบบนี้ก็ไม่ต้องอายใคร
ในการที่จะยกมือสร้างจังหวะ
เดินจงกรมแบบธรรมดาๆ
และไม่ต้องย่องทีละก้าวๆ แบบวิธีปฏิบัติอื่นๆ
 
แต่ก็ให้ดูกาลเทศะหน่อยเท่านั้น
ว่าที่ใดสมควรจะทำหรือไม่สมควร
อันนี้สามัญสำนึกที่ดีสอนเราอยู่แล้ว
ไม่ต้องลำบากใจ
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

การพัฒนาสติสัมปชัญญะ

ให้ปรากฏเป็นรูปธรรมที่สัมผัสได้

เมื่อสติมีกำลังมากขึ้นๆ แล้ว
สติก็จะพัฒนาตัวเอง
ไปเป็นศีล สมาธิ ปัญญา
วิมุตติและเป็นวิมุตติญาณทัสสนะ
ขึ้นไปตามลำดับ
 
เปรียบเสมือนเราปลูกต้นมะม่วง
วันนี้เราเรียกว่าเป็นเมล็ดมะม่วง
แต่ในเดือนต่อไปไม่ใช่แล้ว
เป็นต้นอ่อนหรือหน่อมะม่วง
 
เดือนต่อไปเป็นมะม่วง
ปีต่อไปเป็นมะม่วงขึ้นมา
ก็พัฒนาไปจากเมล็ดอันเดียวนั่นแหละ
 
วันนี้เป็นสติ วันต่อไปจะเป็นศีล
เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นหิริ เป็นโอตตัปปะ
เป็นขันติโสรัจจะ ไปตามลำดับ
 
จะเจริญงอกงามไปเรื่อยๆ
เราต้องคอยดูแลเอาใจใส่
ตามหลักของอินทรีย์พละห้า
ที่กล่าวมาอย่างสม่ำเสมอ
 
ตัวสติเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์
 
แล้วที่สำคัญที่สุดก็คือ
การเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียนได้สติง่าย
แต่ไปเสียตอนรักษาไม่เป็น
ไปเสียตอนใช้ไม่เป็นเท่านั้นแหละ
 
ใครแก้ไขจุดอ่อนตรงนี้ได้
ก็ปฏิบัติสำเร็จได้รวดเร็วแน่นอน

พระพุทธยานันทภิกขุ