ถอดพระธรรมเทศนา ปัญหารูปนามนามรูป

ถอดพระธรรมเทศนาประกอบภาพและเสียง “ปัญหารูปนามนามรูป” จากไฟล์เสียงชุด “เบิกตาชาวอาศรม” แสดงธรรมโดย หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท ณ สถาบันอาศรมศิลป์

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

รูปนามเป็นอย่างไร?

ความคิดว่ารูปนาม
เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
อันนี้คือความคิด
รูปนามที่สัมผัสได้จริงๆ
เป็นอย่างไร?
รู้สึกอะไรบ้างตอนนี้
ไม่รู้สึกอะไร น้ำหนักเท่าไร
หกสิบกิโล
เรานั่งทับตัวเองหกสิบกิโล
ไม่รู้สึกเลยเหรอ
ความรู้สึกหนัก
ที่สัมผัสได้ในปัจจุบัน
คือรูปนาม
ถ้าเราเข้าใจรูปนามแล้ว
เราจะดูสิ่งที่เป็นปัจจุบันเท่านั้น
ถ้าจับหลักปัจจุบันได้
อดีตอนาคตมันก็ง่าย
ถ้าจับหลักปัจจุบันไม่ได้
เราคิดเอา เหมือนเรานอนอยู่
จะลุกไปทันทีก็ลำบาก
แต่ถ้าเราเข้าใจรูปนาม
ก็พร้อมที่จะออกเดินทางได้ทันที
เหมือนเวลานั่งรถก็สตาร์ทได้เลย

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

รูปนามก็คือเวทนานั่นเอง

เวลาปุ๊บปั๊บ กลับมาอยู่กับ
ความรู้สึกตัวปัจจุบัน
อันนี้คือรูปนาม
ไม่ยากเลย

แต่ทำไมมันจึงลืมบ่อย
ขณะนี้รู้สึกตัวอยู่
ใครเป็นคนรู้สึก?
ความหนักความเบา
ใครเป็นคนรู้หนักรู้เบา?
ตัวเราเองเป็นใคร?
รู้หนัก รู้เบา รู้นั่ง รู้สบาย รู้ไม่สบาย
ใครเป็นผู้รู้?
นามเป็นตัวรู้ความรู้สึก
เป็นผู้รู้
ความรู้สึกหนัก รู้สึกเบา
เป็นอะไร?
ความรู้สึกหนักเบา
กับรู้ว่าเรารู้สึกหนักเบา
อันเดียวกันหรือไม่?
ความรู้สึกหนักเบา
กับผู้รู้ว่าหนักเบา
เป็นอันเดียวกันหรือคนละอัน?
ความรู้สึกหนักเบา เย็นร้อน อ่อนแข็ง
เป็นเวทนา
ผู้รู้หนักเบา เย็นร้อน อ่อนแข็ง
เป็นนาม
เรารู้สึกปวดหนัก อยากจะเข้าห้องน้ำ
นึกถึงห้องน้ำอยู่ที่ไหน
เป็นนามรูป
คิดว่าจะไป แต่ยังไม่ได้ไป
เป็นนามรูป
ถ้ากำลังเดินไป เป็นรูปนาม
นามรูปยังเป็นอดีต อนาคตอยู่
แต่ขณะที่เป็นปัจจุบัน
หนัก เบา เจ็บ ปวด เป็นรูปนาม
รูปนามก็คือเวทนานั่นเอง
ใครคือผู้รู้รูปนาม?
นามเป็นผู้รู้ คือสติ
ให้ทวนแบบนี้บ่อยๆ
และสัมผัสบ่อยๆ

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

รู้จัก รู้จำ รู้แจ้ง รู้จริง

ตอนแรกให้รู้จำไว้ก่อน
รู้จำ รู้จักไว้ก่อน
พอมันบ่อยเข้าๆ
เหมือนท่องหนังสือ
ตอนแรกก็ยังไม่จำ
ท่องบ่อยเข้าๆ
เดี๋ยวมันก็จำ
ตัวที่จำได้ ใช้เป็น
เห็นชัด จัดถูก
เป็นตัวรู้จริงแล้ว
รู้จัก รู้จำ รู้แจ้ง รู้จริง
ให้รู้จริงเป็นอย่างๆ ไป

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ความรู้สึกตัวเหมือนพวงกุญแจ

เหมือนพวงกุญแจที่เราใช้ทุกวัน
มีสิบยี่สิบลูก
เรารู้ว่าประตูนี้ต้องใช้ดอกนี้
แต่ถ้าเราไม่ใช่เจ้าของบ้าน
เราเป็นแค่คนรู้จัก
เขาโยนกุญแจให้ทั้งพวง
ไปเปิดประตูให้หน่อย
กว่าจะเลือกได้ถูกลูก
ก็ต้องลองไขมันทุกลูก
แต่ถ้าเป็นเจ้าของบ้านเอง
จับปั๊บก็ไขได้เลย
เช่นเดียวกัน
ถ้าเรารู้รูปนามของเราแล้ว
เราจะใช้ตอนไหน จับถูกเลย
ถึงแม้ขณะนั้น
จะมีความรู้สึกหลายอย่าง
เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่ง ตึง คิด
อะไรต่างๆ
แต่ถ้าเราจับความรู้สึกตัวเป็น
เราจะใช้ขณะนั้นได้ทันทีเลย
ว่าจะใช้ลูกไหน จะใช้ความรู้สึกอะไร
เพราะเราดูมันตลอด ใช้มันทุกวัน
แต่ส่วนใหญ่เราใช้ความคิดตลอด
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ถึงเวลาคิดค่อยคิด

ให้พยายามระลึก
ใช้ความรู้สึกตัวบ่อยๆ
เพื่อให้จิตได้จำ
เราใช้ความคิดมา
ไม่รู้กี่ร้อยวันพันชาติแล้
มันก็เลยไปจำแต่เรื่องที่คิ
แต่พอเรามารู้สึกบ่อยๆ
อยู่กับมันนานๆ
ฝึกเฉพาะมานั่งอย่างนี้ไม่พ
ต้องเวลาเราจะลุก จะนั่ง
จะย่าง จะเดิน
ฝึกให้มันรู้บ่อยๆ
บางคนบอกว่า
ไม่ได้คิดแล้วมันจะดีเหรอ
ก็ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาคิ
จะไปคิดทำไม
ถึงเวลาคิด ค่อยคิด
มันจำเป็นค่อยคิด
ถ้าไม่จำเป็นต้องคิด
ก็มาอยู่กับความรู้สึกตัว
ความคิดทุกเรื่อง
มันไม่จำเป็นทุกเรื่อง
แต่ทำไมมันถึงต้องคิด
เพราะเราใช้มันบ่อย
มันก็เลยทิ้งไม่ลง
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

นามรูปเกิดทันทีที่คิด

รูปนามเป็นอย่างไร?
ขณะนี้รู้สึก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง
สบาย ไม่สบาย หนัก เบา
แล้วเห็นตัวเองไหม?
กำลังอยู่อย่างไร?
สติเป็นอย่างไร?
ระลึกรู้อยู่ หัวจรดเท้าหรือไม่
ขณะนี้นามรูปมีมั้ย
ยังไม่มี เพราะยังไม่ได้คิด
ว่าจะไปที่ไหน ยังรู้สึกอยู่
พอเราคิดว่าจะไปที่นั่นปั๊บ
นามรูปก็ปรากฏแล้ว
ถ้าเราเข้าใจ รู้ทีละอย่างๆ ไป
เรียนถึงไหน ก็ซักซ้อมให้มันจำไปก่อน
อย่าเพิ่งอยากรู้ไปเรื่อยๆ
จะไม่ได้อะไรสักอย่าง
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

สัญญาเปลี่ยนเป็นปัญญา

คำสอนของพระพุทธเจ้า
ไม่เหมือนทั่วไป
ให้สัมผัสสภาวะนั้นบ่อยๆ
จนกระทั่งขึ้นใจ

ตัวที่มันสัมผัสบ่อยๆ เป็นสัญญา
เวลาที่มันจำจนขึ้นใจ เป็นปัญญา
ตอนที่มันเป็นปัญญา มันจึงจะใช้ได้
เหมือนหนังสือสวดมนต์
เวลาไปที่ไหนไม่มีหนังสือ สวดไม่ได้
เพราะมันยังไม่เป็นปัญญา
ยังเป็นสัญญาอยู่
นี้หมายถึงปัญญาภายนอก
และสัญญาภายนอก ที่เป็นรูป
ปัญญาที่เป็นนาม สัญญาที่เป็นนาม
คือจำแต่ความรู้สึกที่เป็นปัจจุบัน
ถ้ามันเป็นปรมัตถ์
ก็จะจำความรู้สึกที่เป็นปัจจุบัน
แต่ถ้าเราท่องไว้ในอดีตแล้วยังจำได้
อันนี้เป็นสัญญาอยู่
แต่ตัวที่เป็นขณะปัจจุบัน
มันจำอารมณ์ได้
จำได้ชัดเลย และใช้ได้ด้วย
ตัวนี้เป็นปัญญา
ตัวสติ สมาธิ ปัญญา
ที่จำได้ ณ ปัจจุบัน
มันจะไปจัดการทุกข์โดยเฉพาะ

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ Buddhism Vipassana วิปัสสนา ศาสนาพุทธ

แมวกลัวหนู

หลวงพ่อเทียน
เปรียบเหมือนแมวกับหนู
แมวมันต้องจับหนู
ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหน
แมวจะรู้เลยว่า อันนี้กลิ่นของหนู
หนูก็จะรู้ว่า อันนี้กลิ่นของแมว
เป็นศัตรูที่มันกลัว
ถ้าเราศึกษาความรู้สึกที่เป็นสติ
มันจะจับทุกข์
อะไรก็ตามที่มันเป็นทุกข์
มันจะเข้าไปจับ
ทุกข์ก็จะรู้ว่า มันเป็นตัวสติ
แต่ถ้าเลี้ยงแมวแล้ว มันไม่จับหนู
บางทีมันก็กลัวหนู
เพราะมันกินอิ่มเกินไป
มันเลยไม่หิว
พอไม่หิว มันก็ไม่ยอมจับหนู
เราต้องไม่ให้อาหารมัน
พอมันหิวมันก็หาอาหารกินเอง
ก็ต้องไปจับหนู
เหมือนกัน ถ้าเรากินสบาย
มันก็ไม่อยากดับทุกข์แล้ว
สติ สมาธิ ปัญญา ที่ไปสนองตัณหา
ความโลภ โกรธ หลง
มันไม่อยากดับทุกข์
มันกลัวทุกข์ด้วยซ้ำไป
แมวก็เหมือนกัน ถ้ามันสบายแล้ว
มันไม่จับหนู มันกลัวหนู
มันเป็นเรื่องธรรมชาติ
อย่าให้มันสบายเกินไป
อย่าไปสนองตอบต่อกิเลสตัณหา
โลภ โกรธ หลง
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

โรคกิเลสต้องรักษาด้วยยาสติ

ถ้าสติสัมปชัญญะไปสนองต่อ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง
สติสัมปชัญญะก็จะเป็นของตัวนั้นไป
ไม่ได้เป็นศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว

ทำไมคนจึงไม่อยากรักษาศีล
ไม่อยากเจริญสมาธิ เจริญปัญญา
เพราะว่ามันไม่สนุก มันไม่สบาย
ไม่เหมือน โลภ โกรธ หลง
โลภ โกรธ หลง มันได้สนุก สบาย
แต่มันสนุก สบาย แบบกินของแสลง
มันอร่อยแต่มันสะสมโรค
ตัวศีล สมาธิ ปัญญา มันไม่อร่อย
มันเหมือนยา แต่กินแล้วรักษาโรค
คนก็ไม่อยากกิน
อะไรที่มันอร่อย เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม
รสจัด กินแล้วจี๊ดจ๊าด คนชอบ
กินแล้วมันขม มันเฝื่อน ไม่ค่อยชอบ
เพราะมันเป็นยา
เราต้องมองภาครูปธรรมให้ชัด
พอเข้าใจ เราก็จะฝึกใจเป็น
เราเป็นโรคกิเลส โรคอวิชชา
โรคตัณหา โรคอุปาทาน
เราต้องการรักษา
ก็จำเป็นต้องกินยา
เจริญสติ เจริญสมาธิ เป็นยา
พระพุทธเจ้าเป็นแพทย์ใหญ่ของโลก
ยาที่เรากินเป็นพุทธโอสถ ธรรมโอสถ
พระสงฆ์เป็นผู้บอกยา เป็นสังฆโอสถ
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

เดินไปคิดไป

ในเรื่องของอารมณ์ปฏิบัติ
เราพยายามโฟกัสเป็นเรื่องๆ ไป
ถ้าเราอยู่ในท่านั่ง
ก็ให้รู้เรื่องนั่งให้ดี
อย่าไปคิดถึงเรื่องเดิน
ในการนั่งตั้งแต่หัวจรดเท้า มีอะไรบ้าง
มันเจ็บ ปวด ขัด อย่างไร
เราขยับเปลี่ยนไปแล้วเป็นอย่างไร
รู้อาการที่เปลี่ยนไปชัดๆ
นี่คือศึกษาแบบวิปัสสนา
พอเรายืน ก็รู้แต่เรื่องยืน
ในขณะที่ยืน ตั้งแต่หัวจรดเท้า
มีอาการอะไรบ้าง อ่านให้หมด
อ่านไปอ่านมา เดี๋ยวก็คล่อง
พอเราเดินก็จะมีอาการอีกแบบหนึ่ง
ไม่เหมือนนั่งหรือยืนแล้ว
อาการเดินมีอะไรบ้าง
ส่วนใหญ่เราเดินไปคิดไป
เรื่องที่กำลังเป็นอยู่ไม่รู้
ก้าวเป็นอย่างไร เหยียบเป็นอย่างไร
หนักเป็นอย่างไร เบาเป็นอย่างไร
หมุนซ้าย หมุนขวา ก้าวหน้า ถอยหลัง
เป็นอย่างไรไม่รู้
ถ้าเราอยู่กับสิ่งใด รู้สิ่งนั้นชัด
ตรงนั้นเกิดโลกุตตรปัญญา
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

โลกุตตรธรรมคือยืน เดิน นั่ง นอน

มีพราหมณ์คนหนึ่ง
ได้ยินเขาสรรเสริญเรื่องโลกุตตรธรรม
ว่าเป็นธรรมชั้นยอด
ถ้าใครรู้แล้วก็จะไม่ทุกข์ ไม่ตาย
เขาก็อยากรู้บ้างว่าโลกุตตรธรรมคืออะไร
สมัยพุทธกาลมีสำนักอาจารย์เยอะ
แต่ละสำนักก็ตอบต่างกัน
มีคนแนะนำให้ไปหาสมณะโคตม
พระพุทธเจ้าลุกขึ้นยืน ท่านยังไม่ตอบ
สักพักก็เดิน นุ่มๆ เบาๆ
แล้วกลับมานั่งลง แล้วก็นอนไป
แล้วลุกขึ้นมา
ท่านตอบว่านี่คือโลกุตตรธรร
พราหมณ์ก็งง
ยืน เดิน นั่ง นอน ใครๆ ก็ทำได้
ผมก็ทำอยู่ทุกวัน
มันจะเป็นโลกุตตระตรงไหน
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
ดูก่อนพราหมณ์
การยืน เดิน นั่ง นอน ของคนทั่วไป
กับการยืน เดิน นั่ง นอน ของเรา
ไม่เหมือนกัน
เพราะคนทั่วไป
ยืน เดิน นั่ง นอน ตามสัญชาตญาณ
ยืน ก็ไม่รู้ว่ายืน
เดิน ก็ไม่รู้ว่าเดิน
นั่ง ก็ไม่รู้ว่านั่ง
นอน ก็ไม่รู้ว่านอน
แต่เราตถาคต
ยืน ก็รู้ชัดว่ายืน
เดิน ก็รู้ชัดว่าเดิน
นั่ง ก็รู้ชัดว่านั่ง
นอน ก็รู้ชัดว่านอน
นี้แหละ เราเรียกว่าโลกุตตรธรรม

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ลืมตารู้จริง

ถ้าเรานำธรรมะของพระพุทธเจ้าไปใช้
เรื่องทุกเรื่องจะง่ายหมด
การศึกษาทางตะวันตก
ใช้ความคิด ใช้ปรัชญา
แต่ของเราใช้การตรัสรู้
เรามีพระพุทธเจ้า
สืบทอดกันมาหลายพระองค์
พระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้
Philosophy, Psychology
ท่านใช้ Enlighten, Awake, Aware
เช่นเดียวกัน ความรู้ที่เราใช้
เราใช้การรู้แจ้งในแต่ละขณะ
เราอยู่ด้วยแสงสว่าง
ไม่ได้อยู่ด้วยการหลับตา
เรารู้แจ้งเห็นจริงโดยการลืมตา
ทุกอย่างก็จะง่าย
เหมือนหลับตาเดินกับลืมตาเดิน
เดินในที่มืดกับเดินในที่สว่าง

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ความคิดกลายเป็นปัญญา

เวลาเราปฏิบัติ
อย่าไปคิดอะไรยากๆ
ทำอะไรให้มันง่ายๆ
ทำด้วยความรู้สึกตัว
อย่าทำด้วยความคิด
แต่เราอยู่มาด้วยความคิด
มันเลยเป็นเรื่องยาก
การมาฝึกปฏิบัติธรรม
คือฝึกใช้ความรู้สึกตัว
พอรู้สึกตัวแล้ว มาใช้ความคิด
ความคิดจะกลายเป็นปัญญา
แต่ถ้าเราไม่มีความรู้สึกตั
ก่อนที่จะใช้ความคิด
ความคิดนั้นก็จะเป็นกิเลส
เป็นตัณหา
อันเดียวกันทั้งนั้น
แต่ทำไมมันเป็นคนละทาง
ความคิด ถ้ามีสติ สมาธิ
เป็นฐานรองรับ
มันกลายเป็นตัวปัญญา
เป็นแสงสว่าง
ความคิดอันเดียวกัน
ถ้ามีกิเลส ตัณหา
เป็นฐานรองรับ
มันกลายเป็นตัวอวิชชา
เป็นความมืดไปเลย

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ไม่ได้ห้ามไม่ให้คิด

ความโลภ โกรธ หลง
ความรัก ความชัง
ถ้าไม่มีความคิด มันเกิดไม่ได้
ที่มันเกิดได้เพราะมันมีความคิด
เป็นตัวเชื้อของมัน
แต่ถ้าเราอยู่ด้วยความไม่คิดก็ไม่ได้
เราต้องอยู่ด้วยความคิด
คิดบนฐานของสติ สมาธิ ปัญญา
แต่สิ่งที่ไม่ควรใช้คือ
คิดบนฐานของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
ก็จะกลายเป็นกิเลส เป็นอวิชชา
หลวงพ่อเทียนบอกว่า
ไม่ได้ห้ามไม่ให้คิด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้
แต่ต้องคิดบนฐานของสติ สมาธิ ปัญญา
ถ้าคิดบนฐานของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
ยิ่งคิดยิ่งเลอะ ยิ่งคิดยิ่งฟุ้ง
ถ้าคิดบนฐานของสติ สมาธิ ปัญญา
ยิ่งคิดยิ่งสว่าง ยิ่งคิดยิ่งเข้าใจ
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า
เรากำลังคิดบนฐานของอะไร
บนฐานของอวิชชา
หรือบนฐานของสติ?

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

คิดในปัจจุบัน

ถ้าเราเอาปัจจุบันเป็นฐาน
ความคิดนั้นจะนำไปสู่สติปัญญา
ถ้าราเอาอดีตอนาคตเป็นฐาน
มันจะไม่พ้นเรื่องอวิชชา

ท่านจึงให้ระวัง
ถ้ารู้ว่าเรากำลังคิด
โดยความไม่รู้สึกตัว
ต้องตั้งสติ ให้รู้เนื้อรู้ตัวก่อน
แล้วตั้งใจคิดใหม่
ว่าสิ่งที่จะคิดนี้ จำเป็นไหม
เร่งด่วนไหม ต้องใช้ขณะนั้นไหม
สำรวจอีกทีหนึ่ง
แต่ถ้าเป็นการเตรียมการ
ว่าจะทำพรุ่งนี้
วางแผนไว้ก่อน
เป็นการคิดแบบตะวันตก
เป็นการวางแผนล่วงหน้า
เมื่อก่อนเวลามีคนนิมนต์ให้ไปพูด
อาตมาต้องเตรียมการที่จะพูด
แต่หลังจากเจริญสติแล้ว
ไม่ต้องเตรียมเลย
เพราะที่เราเตรียมไป กับสิ่งที่เราเห็น
มันเป็นคนละเรื่อง มันใช้กันไม่ได้
เหตุการณ์เฉพาะหน้ามันจะบอกเราเอง
ว่าควรจะพูดไปอย่างไร

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

มีสติในปัจจุบัน

มีอยู่วันหนึ่ง
ที่มหาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์
เขาจัดงานวันแห่งสติ (Mindfulness Day)
ที่นั่นมีคุณหมอคงศักดิ์
เป็นนายกพุทธสมาคมมิสซูรี่
ทุกปีก็จะมี guest speaker เข้าไปพูด
อาตมาภาษาอังกฤษ
ก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราว
ก็เลยขอเขียนเป็นภาษาไทย
ให้คุณหมอแปลเป็นภาษาอังกฤษให้
อาตมาก็จะพูดตามนี้
พอไปถึงมหาวิทยาลัย
ก็มีแต่ดอกเตอร์ ศาสตราจารย์
ตอนแรกเราพูดตามโพย
มันไม่ได้เรื่อง
ทิ้งโพยเลย ลุยตามประสาของเรา
ปรากฏว่าดีกว่า
เราต้องเชื่อในสติ
ที่เป็นปัจจุบันของเรา
ต้องดูเหตุ ดูผล ดูการณ์ ดูประมาณ
ดูบุคคล ดูชน ว่าเป็นอย่างไร
เราก็สรุปออกมาเป็นเรื่องจริง
ในขณะนั้น

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ปัจจุบันคือแสงสว่าง

หลายครั้งที่มีการเตรียมแล้วใช้ไม่ได้
เราเตรียมมาหลายชั่วโมงแล้ว
แต่ขณะนี้เป็นเรื่องปัจจุบั
การเตรียมล่วงหน้า
เป็นสไตล์ตะวันตก
แต่เหตุการณ์ที่เตรียมไว้
หลายวัน หลายเดือน หลายชั่วโมง
มันไม่ใช่เหตุการณ์ขณะนี้ เดี๋ยวนี้
สิ่งที่เราควรเตรียมตลอดเวลาคือ
เตรียมสติ เตรียมสมาธิ เตรียมปัญญา
เตรียมแสงสว่างเอาไว้
เราจะเดินทางในที่มืด
แค่เตรียมไฟฉายไว้เท่านั้น
ไฟฉายกับสิ่งที่เรานึกเอา
มันคนละเรื่อง
ที่พูดเรื่องนี้เยอะๆ
เพื่อให้เรามั่นใจว่า
มันเป็นเรื่องสำคัญกับชีวิตจริงๆ

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

สะสมสติไว้ใช้นอกรูปแบบ

ที่จริงการสั่งสมความรู้สึก
ไม่ใช่เรื่องยากเลย
เพราะเรามีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
เราก็ใส่ความรู้สึกกับการเคลื่อนไหว
กับการงาน ดูหนังสือ จับฉวยโน่นนี่
ถ้าเราไม่ได้ฝึกฝนในรูปแบบ
ให้เข้มแข็งก่อน
การที่เราจะไประลึกได้
ในขณะที่เราทำการทำงาน
มันจะเป็นไปได้ยากที่สุด
เพราะเราอยู่ด้วยความเคยชิน
มาตลอดชีวิต
จู่ๆ จะให้เรารู้สึกตัวในขณะนั้น
เป็นไปไม่ได้
การปฏิบัติโดยใช้สตินอกรูปแบบ
แต่ในรูปแบบไม่มี
เหมือนเงิน ถ้าเราไม่สั่งสมไว้ก่อน
จะไม่มีใช้ในการลงทุน
เราอาจจะไปกู้เงินมาลงทุนได
แต่ทางนามธรรม เราจะไปกู้มาไม่ได้
มันจะต้องมีทุนเสียก่อน
ค่อยได้กำไรมาต่อเป็นทุน
ในวิธีการของเถรวาทคือ
ทำรูปแบบให้เป็น
เมื่อทำในรูปแบบเป็นแล้ว
เอาไปทำนอกรูปแบบ มันจะเอื้อกัน
มีแรงส่ง แรงหนุน เพราะเรามีทุนอยู่แล้ว
ทำให้มันชิน ความคุ้นเคยมันก็ติดไป
มันไม่ได้ทิ้งกัน
เพราะมีความจำที่เราตอกย้ำไ

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

สติคือความจำที่มั่นคง

คำว่าสติ
มีรากมาจากคำว่า “ถิรสัญญา”
แปลว่า ความจำที่มั่นคง
ถิระ แปลว่ามั่นคง
พระเถระ มาจากคำว่า ถิระ ห