พระธรรมเทศนา อุบายฝึกจิตใจให้อยู่กับปัจจุบัน

พระธรรมเทศนาโดย พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท “อุบายฝึกจิตใจให้อยู่กับปัจจุบัน” (เช้าวันที่ 14 ธ.ค. 2559, Sacred Falls International Meditation Center. Wat Lao Buddha Sacksith. USA Hawaii)

(ข้อความถอดคำบรรยายอยู่ใต้คลิปนี้ และในเพจพลิกใจให้ตื่นรู้)

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

Double Check

การหยุดและการเคลื่อน
ถ้าเราตามรู้ไม่ทัน
ก็เป็นการเกิดดับของอวิชชา

บางทีเรายกมืออยู่ดีๆ
พอแมลงวันมาตอมปั๊บ
มือมันไปเลย เราไม่ทันรู้

แต่เราสามารถตามรู้ได้
โดยยกมือขึ้นอีกครั้ง
นี่คือวิธีแก้ ทำซ้ำอีกทีหนึ่ง

ถ้าทำด้วยความไม่รู้
ทำซ้ำอีกทีหนึ่งให้ช้าลง

ถ้าเราลืมแล้วลืมเลย โดยที่ไม้แก้
มันจะกลายเป็นนิสัย

เรายกมือ ถ้าลืมรู้สึกตัว
ให้ยกมืออีกครั้งแบบรู้สึกตัว
เรียกว่าวิธีเกิดและดับ

เกิดคือมันเผลอไปโดยไม่รู้ตัว
ซ้อมกลับอีกทีอย่างรู้ตัว คือดับ
ดับความไม่รู้

ความไม่รู้เกิดเพราะเราเผลอ
ลักษณะของการทำซ้ำครั้งที่สอง
มันเป็นการแก้
ไม่ว่าเราจะยกอะไรก็ตาม

ถ้าซ้อมอย่างนี้บ่อยๆ
การปฏิบัติของเราจะก้าวหน้าได้ไวมาก

คำว่าก้าวหน้าหมายความว่า
รู้เท่าทันทุกอย่างที่เราตั้งใจ ไม่ตั้งใจ

ถ้าเราสามารถตามรู้ได้อย่างนี้
ตัวเพลิน ตัวหลง ตัวลืม
ก็จะค่อยๆ ลดกำลังลง
เพราะเราอาศัยการทำซ้ำ
เรียกว่า Double Check

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

แก้เกมด้วยการทำซ้ำ

การทำซ้ำช่วยได้เยอะเลย
เพราะมันเป็นการแก้เกม
ของความเผลอ ความไม่รู้ตัว

เหมือนเราตัดไม้ไม่ขาด
ตัดซ้ำอีกทีหนึ่ง
ตัดซ้ำด้วยความตั้งใจ มักจะขาด
มีความหนักหน่วงพอ

การเผลอ การหลง เราห้ามไม่ได้
แต่เราสามารถแก้ได้

การเกิด การดับ เราห้ามไม่ได้
แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลง
การเกิดดับที่ไม่รู้
ให้เป็นการเกิดดับที่รู้ได้

แต่เราต้องมีความตั้งใจที่จะปรับที่จะแก้
ถ้าเราไม่มีความตั้งใจ
เผลอแล้วก็เผลอเลย หลงแล้วก็หลงเลย
ถ้าไม่คิดจะแก้ มันก็จะกลายเป็นความเคยชิน

ถ้าการขยับเขยื้อนใดๆ เราตั้งใจที่จะดู
นี่คือความก้าวหน้าของการปฏิบัติ
ไม่ใช่ความก้าวหน้าของการรู้อย่างเดียว

เป็นความก้าวหน้าของศรัทธา
ความก้าวหน้าของความเพียร
ความก้าวหน้าของสติ สมาธิ ปัญญา

ถ้าเรารู้หัวเชื้อของวิชชาตัวนี้ได้ดี
มันสามารถแก้ปัญหาเรื่องอื่นได้หมด

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ที่เกิดของรูปคือนาม

เพราะปัญหาเรื่องรูป มันหยาบ
ปัญหาต่างๆ มันเกิดเพราะรูป

เรามาดูที่เกิดของรูปคือนาม
ถ้าเรามาจับตัวรู้ คือนามให้ชัดไว้
เราจะรู้เท่าทันรูปหมด

แต่ถ้าเราไม่จับความรู้สึกตัว
ที่เป็นนามให้ชัดเสมอ
เราก็จะไปสับสนเรื่องรูปต่างๆ
มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ตามไม่ทัน
เราก็จะหลงเข้าไปในเกมของมัน

แต่ถ้าเรารู้เท่าทัน เราเป็นผู้กำหนดเกม
การเล่นในแต่ละเหตุการณ์
เราก็จะไม่ตกเป็นผู้เสียเปรียบ
หรือเสียท่าในเรื่องนั้น

การปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน
ถ้าเราเป็นผู้กำหนดรู้อยู่
แม้ว่าความเคยชิน ความหลงลืม อวิชชา
มันเป็นของเก่า ของเดิมก็ตาม
แต่มันเป็นธรรมชาติที่มีอยู่แค่นั้น เพิ่มไม่ได้
ที่มันเยอะเพราะเราอยู่กับมันมานาน

ตัวรู้ที่เรากำหนดขึ้นเป็นของใหม่
เราสามารถเพิ่มได้
แต่ตัวไม่รู้เพียงแต่เราหลงไป
มันก็จะเพิ่ม เพิ่มตรงที่เราไม่แก้

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

จิตแท้ ไว ชัด คม ละเอียด

การปฏิบัติก็คือตามรู้สิ่งเหล่านี้
รู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจนึกคิด ที่มันมีอยู่
กายเคลื่อนไหวใจรู้
ตามรู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ

แล้วเราจะสัมผัสได้ถึงความละเอียด
ความสุขุมลุ่มลึกของความรู้สึก
มันเป็นความเย็น ความสบาย
ความสงบ ความผ่อนคลาย

ซึ่งบางครั้งถ้าเราตั้งใจจริงๆ
มันจะเป็นความสุขที่เราไม่เคยสัมผัส

แต่พอจิตได้สัมผัสสักครั้ง
มันจะจำได้ถึงความนุ่มนวลเยือกเย็น

ต่อไปถ้ามันมีอาการของความหยาบ
ความอยาก ความใคร่ ความโกรธ ความหลง
อะไรต่างๆ มันจะเห็นชัด

เหมือนเราเห็นไฟชัด
หรืออะไรที่มันสัมผัสแล้วร้อน
เราก็จะถอยได้เร็ว

แต่ถ้าความรู้สึกของเรามันด้าน หนา
แม้สิ่งนั้นมาอยู่ใกล้ เราก็ยังสัมผัสไม่ได้

เหมือนเราใส่เสื้อผ้าหนาๆ
เราไปใกล้เตาไฟ ใกล้ความร้อน
เราจะไม่รู้สึกร้อน จนกระทั่งไฟไหม้ผ้า
หน้าหนาวนอนห่มผ้าอยู่ใกล้กองไฟ หลับไป
ตื่นขึ้นอีกทีไฟไหม้แล้ว

การที่เราทำความรู้สึกบ่อยๆ
จิตของเราก็จะเบาบางต่ออารมณ์ต่างๆ
เมื่อมีอารมณ์ใดมากระทบปั๊บ
เราจะสัมผัสได้ไว เรียกว่า sensitive
มันก็เกิดการระมัดระวังได้ไว

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

สัตว์ป่าไวกว่าสัตว์บ้าน

สังเกตได้จากสัตว์ป่าและสัตว์บ้าน
สัตว์บ้านมันจะคุ้นเคย
มันก็จะไม่ระมัดระวังภัยแล้ว
อะไรเกิดขึ้นปั๊บ ถึงตัวเลย ก็จับมันได้

แต่สัตว์ป่ามันระแวดระวัง
พอได้ยินเสียงมาแต่ไกลมันต้องหลบ
หรือได้กลิ่นมาแต่ไกล มันต้องหลบ

ฉันใดก็ดี จิตของเราที่มัน sensitive
ต่อการรับรู้ มันจะรู้ก่อนว่า
อะไรเป็นพิษเป็นภัย
อะไรเป็นเหตุของทุกข์
อะไรทำให้ไม่สบาย มันจะรู้ไว
เราสามารถป้องกันตัวเอง หลบได้ไว

สัญญาณของความอยาก
สัญญาณของความคิด
เมื่อก่อนมันซึมเข้าไปเลย
แต่พอเราปฏิบัติ ตัวรู้มากเข้าๆ
พอความคิดเข้ามา
มันจะเห็นชัดมากเลย

พอเห็นชัด เราสามารถหลบได้เร็ว
กำหนดรู้ได้เร็ว

เราจึงทำความรู้สึกเหล่านี้
ค่อนข้างช้า ให้ได้ชัดก่อน
เพื่อที่จิตของเราจะสามารถรับรู้
สิ่งที่หยาบๆ สิ่งที่ไม่ชัดได้ไว

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

จิตเหมือนหนังสติ๊ก

แม้แต่เวทนาในร่างกายของเรา
พอทำไปนานๆ เราจะสัมผัสรู้ได้เร็วขึ้น
ว่าตัวรู้สึกไม่สบาย หนัก มันกินลึกแค่ไหน

ตามรู้มันไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งเห็นเวทนาเข้าไปบีบคั้น
ลึกตื้นแค่ไหน

พอเราขยับเราก็จะเห็นการคลายของมันได้ชัด
การซ้อม การเฝ้าดูอย่างนี้บ่อยๆ
ชีวิตของเราก็จะกลับเข้าสู่ปัจจุบันได้ง่าย

เมื่อจิตมาสู่ปัจจุบันได้ง่าย
มันก็จะมาอยู่กับความเบาสบาย
ความผ่อนคลาย

เหมือนเราเห็นเด็กดึงหนังสติ๊ก
พอปล่อยปั๊บ มันจะหย่อนทันที
เวลามันออกจากเราไป พอปล่อยปั๊บ
มันก็จะหดเข้าหาเรา

จิตของเราเหมือนกัน
ถ้ามันยืดไปในอดีต อนาคต
จิตของเราจะรู้สึกตึงและเกร็ง

แต่พอดึงจิตกลับมาปั๊บ
มันก็จะผ่อนคลาย
ตัวปัจจุบันจะเกิดการผ่อนคลาย
โดยอัตโนมัติของมัน

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

จิตเหมือนนักฟุตบอล

เหมือนนักฟุตบอลหรือนักกอล์ฟ
ตราบใดที่ลูกยังไม่เข้าประตู
เขาก็จะวิ่งตามลูกอยู่อย่างนั้น
พยายามทำให้เข้าจนได้

ตัวปัจจุบันเหมือนประตูฟุตบอล
ถ้าหากเตะลูกเข้าประตูได้
ทุกคนก็หยุด ตั้งเกมกันใหม่
ช่วงไหนที่ลูกยังไม่เข้าประตู
ก็วิ่งวนอยู่อย่างนั้น

ตราบใดที่จิตยังไม่เข้าสู่ปัจจุบัน
จิตของเราจะวิ่งวนไล่วัตถุนั้นไปเรื่อยๆ
ไม่มีที่สิ้นสุด
เหนื่อยล้าจะเป็นจะตายก็ต้องยอม

ความจริงจิตมันวิ่งเพื่อหาปัจจุบัน
แต่มันไม่รู้ว่าปัจจุบันอยู่ที่ไหน
เพราะมันไม่เคยสัมผัสอย่างจริงจัง

แต่พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ปั๊บว่า
ปัจจุบันคือกายกับใจมาอยู่ด้วยกันนั่นเอง
เหมือนประตูกับลูกบอลมาอยู่ด้วยกัน
แล้วตั้งเกมใหม่

จิตของเรามาอยู่กับปัจจุบันปั๊บ
อดีตอนาคตจบ จิตไม่ต้องไปวิ่งว่อน

แต่พอมีความอยากขึ้นมาใหม่
จิตมันก็วิ่งใหม่
นั่นหมายความว่า จิตออกจากปัจจุบัน
เอาลูกบอลออกจากประตู
มาตั้งเตะกันใหม่ ก็วิ่งต่อ

พอตัวปัจจุบันปรากฏ คือชัยชนะเกิดขึ้น
ลูกบอลเข้าประตูแต่ละครั้ง
หมายถึงชัยชนะเกิดขึ้นแต่ละครั้งไป

จิตกลับเข้าสู่ปัจจุบันแต่ละครั้ง
หมายถึงชัยชนะของตัวรู้ปรากฏทุกครั้งไป

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ปฏิบัติธรรมคือสั่งสมตัวรู้

การปฏิบัติธรรมคือการสั่งสมตัวรู้
ให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พอสั่งสมตัวรู้มากเท่าใดหมายความว่า
การที่จะดึงจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
มันง่าย มันเร็ว มากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งกลับมาปัจจุบันได้เร็วเท่าใด
ก็จะมีความผ่อนคลาย ความสบาย
ความปลอดโปร่ง

การทำจิตให้อยู่กับปัจจุบันมีสองลักษณะ
ลักษณะที่เป็นสมถะ
คือพยายามบังคับมันมาอยู่
แต่พอเผลอปั๊บมันไปเลย
พวกสมถะจึงทำความเพียรหนัก

แต่พวกวิปัสสนาจะให้มันอยู่โดยธรรมชาติ
โดยไม่ต้องบังคับ
สร้างความเข้าใจกับมัน
ว่าอยู่กับปัจจุบันเพื่ออะไร ให้มันคุ้น

เหมือนการล่อสัตว์ป่ามาอยู่ในอำนาจ
มีสองลักษณะ
หนึ่งคือไปตามจับมันมาขังไว้
พอเผลอแล้วมันหนีเข้าป่าลึกเลย
ประเภทที่สองไม่ต้องไปตามล่า
แต่ใช้เหยื่อที่มันชอบ

ที่อเมริกาเขาสามารถให้นกมาอยู่บ้าน
โดยไม่ต้องไล่จับมัน
เพียงแต่เอาอาหารไปห้อยไว้ให้มันกิน
ก็มาได้ทุกวัน เป็นการทำบุญ

แต่บ้านเราตามล่านก เอาลูกนกมาขังไว้
เป็นการเลี้ยงที่เป็นบาป

สัตว์ก็มาอยู่โดยธรรมชาติของมัน มันก็คุ้น
จิตของเราเหมือนกัน
ถ้าบังคับให้มันรู้ จิตมันจะเกร็ง หนัก

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ตั้งใจไม่ใช่บังคับ

บางคนอยากให้ตัวรู้อยู่นานๆ
พยายามตั้งใจทำ
อย่างพวกหนอ เขาตั้งใจทำจริงๆ
บังคับจิต แต่มันไม่เคยอยู่

วิปัสสนาอย่างที่เราทำ
เราสร้างความคุ้นในการให้อาหารมัน
สร้างการเคลื่อนไหว
เหมือนการให้อาหารมัน

เราให้อาหารมันเรื่อยๆ
คือการทำความรู้สึกตัว
กำหนดรู้การเคลื่อนไหว

จิตเข้ามาเรื่อยๆ พอมาบ่อย
จิตมันคุ้นกับปัจจุบัน
มันรู้สึกถึงการมีอาหาร
มีที่อยู่ มีความปลอดภัย

ต่อไปจิตมันก็มาเอง
ลักษณะนี้คือวิปัสสนา
มันเต็มใจอยู่ ไม่ได้ถูกบังคับ

การบังคับให้จิตอยู่ เรียกว่าสมถะ
การให้จิตอยู่โดยที่ไม่บังคับ เรียกวิปัสสนา
ทำให้เกิดปัญญา เป็นความพอใจของทุกฝ่าย
เจ้าของบ้านก็พอใจที่ได้สัตว์มาอยู่ใกล้
สัตว์ก็พอใจที่ได้กินอาหาร

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ปัจจุบันเกิดปัญญา

พอเราทำความรู้สึกตัว
เราเห็นจิตอยู่กับปัจจุบัน
เรารู้สึกสบาย สงบ พอใจ

จิตเองก็ไม่รู้สึกว่าฝืน
เพราะเกิดการผ่อนคลาย
และมารับรู้อยู่กับปัจจุบัน
เป็นลักษณะที่ว่า
วิปัสสนาทำให้เกิดปัญญา

การจับสัตว์โดยใช้ปัญญาหรือใช้เหยื่อล่อ
โดยที่ไม่บังคับ
เราจึงใช้วิธีฝึกแบบนี้ อาศัยการทำบ่อยๆ

เหมือนเจ้าของบ้าน
พอข้าวในกล่องที่ห้อยไว้หมด
ก็มาเติมเรื่อยๆ นกมันก็มาเรื่อยๆ
ไม่ใช่นกเท่านั้น กระรอกกระแตมาหมด

ในวัดก็เต็มไปด้วยสัตว์ที่ต้องการให้มา
เป็นความเมตตากรุณาอีกแบบหนึ่ง
ไม่ใช่การจับมาขังแบบโหดร้าย
เลี้ยงอาหารในกรงแบบบ้านเราทำ
อุบายที่จะจับจิตก็ทำฉันนั้นเหมือนกัน

เวลาที่เราเข้าใจเป้าหมายอย่างนี้แล้ว
การทำความเพียรถ้าเรารู้เป้าหมาย
ว่าทำเพื่ออะไร เราก็จะไม่รู้สึกเบื่อ
ไม่รู้สึกถูกบังคับ ไม่รู้สึกหนัก

แต่รู้สึกถึงการได้ใช้ปัญญา
ในการที่จะพลิกแพลง
ให้จิตอยู่กับปัจจุบันได้อย่างไร
นั่นคือเป้าหมาย

ใช้ปัญญาให้จิตไม่ไปวิ่งวนร่อนเร่
เหมือนนักฟุตบอลวิ่งตามลูกบอล
เหนื่อยแค่ไหนก็ยังต้องวิ่ง
เพราะลูกยังไม่เข้าประตู

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

สติเหมือนนายทวาร

เราวิ่งตามอดีตอนาคตทุกขณะ
เพราะจิตของเรายังไม่กลับ
เข้ามาสู่ปัจจุบัน อันเป็นเป้าหมาย

เราจึงต้องใช้อุบายนี้ในการปฏิบัติ
เราจะวิ่งกระหืดกระหอบทั้งปีทั้งชาติ
หรือว่าเราจะเฝ้าดูอย่างสบายๆ

เฝ้าดูเหมือนนายประตูเฝ้าดูลูกบอล
สกัดกั้นไม่ให้ลูกบอลเข้าประตู
ฝ่ายตรงข้ามก็พยายามอย่างเต็มที่

อันนี้คือธรรมชาติ เกมทั่วไปที่เขาใช้กันอยู่
เป็นอุบายวิปัสสนาที่เราต้องการนำมาใช้

วันนี้เราเก็บสติภายนอก
พรุ่งนี้ก็จะแยกตัวว่าใครที่จะ
ถ้าสี่ห้าวันที่ผ่านมาเราฝึกได้ไม่ดี
เวลาไปเก็บอารมณ์
ก็จะรู้สึกกระวนกระวาย ทำไม่ได้

คนไหนที่ทำไม่ได้ก็กลับมาปฏิ บัติรวมที่นี่ต่อ
คนไหนที่ทำได้ก็จะปล่อยให้ปฏิบัติคนเดียว
ความก้าวหน้าก็จะเกิดขึ้น

คนที่ทำคนเดียวแล้ว
เกิดอยากหลับอยากนอนวุ่นวายคิดมาก
แสดงว่าที่ทำมาสามสี่วันไม่มีความพร้อม
ไม่เข้าใจ ก็ต้องกลับมาอยู่ข้างนอกใหม

แต่คนที่อยู่คนเดียวแล้วรู้สึกว่ามันก้าวหน้า
ทำแล้วมันพัฒนา ก็อยู่ต่อ ก็จะดูแลเป็นคนๆ ไป
วันนี้ก็มาทบทวนตรวจสอบความเพียรกัน
ว่าเราพร้อมที่จะอยู่คนเดียวได้หรือไม่ ในวันต่อไป

พระพุทธยานันทภิกขุ