รูปทำ นามทำ รูปทุกข์ นามทุกข์ รูปโรค นามโรค

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ทุกข์เพราะรูปนามไม่รู้จักกัน

ความจริงกาย ก็คือส่วนหนึ่งของรูป
ไม่ได้ทุกข์
ใจก็เป็นส่วนหนึ่งของนาม
มันก็ไม่ได้ทุกข์มาก่อนเหมือนกัน
ถ้าต่างคนต่างอยู่

แต่ถ้าไม่รู้จักมันให้ชัดๆ
กายก็ทำให้ใจเป็นทุกข์
ใจก็ทำให้กายเป็นทุกข์
เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น?
ก็ต่างก็ไม่รู้จักกันไงล่ะ

เราลองมาดูตัวอย่าง
ที่เป็นรูปธรรมต่อไปนี้
เวลาเราแบมือ แล้วกางนิ้วออก
เรียกกันว่านิ้วมือ
เวลากำมือเข้า
เราเรียกว่ากำปั้น

เวลากำมือ
รูปของนิ้วมือหายไป
เวลาแบมือออก
รูปของกำปั้นก็หายไป

มาดูสมมุติที่ลึกลงไปอีกนิด เวลากำมือแน่นเข้า เรารู้สึกสบายหรือไม่สบาย รู้สึกไม่สบายเหมือนตอนแบใช่ไหม? เวลาแบออก ความรู้สึกสบายมาจากไหน? แล้วเจ้าความไม่สบายหายไปไหน? ในที่นี้อยากถามว่า ความรู้สึกสบายหรือไม่สบาย เกิดจากมือที่มือกำหรือที่มือแบ? เกิดที่กายหรือเกิดที่ใจ?

รู้สึกใจไม่ใช่มือ

มาดูสมมุติที่ลึกลงไปอีกนิด
เวลากำมือแน่นเข้า
เรารู้สึกสบายหรือไม่สบาย

รู้สึกไม่สบายเหมือนตอนแบใช่ไหม?
เวลาแบออก
ความรู้สึกสบายมาจากไหน?
แล้วเจ้าความไม่สบายหายไปไหน?

ในที่นี้อยากถามว่า
ความรู้สึกสบายหรือไม่สบาย
เกิดจากมือที่มือกำหรือที่มือแบ?
เกิดที่กายหรือเกิดที่ใจ?

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

มือไม่ใช่เรา

ทั้งมือกำหรือมือแบ เราเรียกว่ารูป
ถ้ารูปกำมันก็หนัก แต่ถ้ารูปแบมันก็เบา
ก็จะเห็นความจริงว่า
มือก็ยังคงเป็นมือ ใจก็ยังเป็นใจ
แต่ความรู้สึกหนัก และรู้สึกเบาก็จะหายไป

เพราะฉะนั้น ทุกข์ไม่ได้เกิดจากมือ
และก็ไม่ได้เกิดจากใจ
แต่เกิดความรู้ผิดๆ ที่คิดว่ามือเป็นเรา
และเกิดจากความเข้าใจผิด
ที่คิดว่าเรากำมือ เราแบมือ
และรู้สึกว่ามีเราเป็นผู้หนัก ผู้เบา

ดังนั้น ความทุกข์เกิด
เพราะความสำคัญผิดของเราเอง
ที่คิดว่ามีเราเป็นผู้รับรู้อาการนั้นๆ

เพราะฉะนั้น ให้ทำความเข้าใจ
กับตัวอย่างที่กล่าวมาให้ชัดๆ
แล้วจะเข้าใจรูปนามในส่วนอื่นๆ ได้ทั้งหมด

ความรู้สึกหนักเป็นรูป
รู้ว่าหนักเป็นนาม
รูปหายไป นามเกิด

จิตของเรา มันคือตัวรู้ที่เป็นกลางๆ เมื่อความคิดผ่านเข้ามา แล้วผ่านไป ทุกข์ก็ยังไม่เกิด เพราะความคิดก็เป็นเพียงรูปชนิดหนึ่ง แต่เมื่อไรเราเผลอสติ สำคัญผิดคิดว่าเราเป็นผู้คิด นามรูปจึงปรากฏตัวทันที แต่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเหตุเกิดทุกข์ ยังไม่ใช่ตัวทุกข์ที่เต็มร้อย แต่มันจะก่อเกิดนามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา อย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแล่บ และมันจะเป็นที่ตั้งลงของกฎธรรมชาติ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือไตรลักษณ์ในทันที เพราะขึ้นชื่อว่ารูป ไม่ว่าหยาบ กลาง ละเอียดขนาดไหน ก็เป็นที่ตั้งของไตรลักษณ์ได้หมด แต่กฎไตรลักษณ์จะไม่สามารถ เข้าถึงนามหรือปรมัตถะสภาวะได้เลย เพราะไม่มีที่เกาะเกี่ยว ไม่มีเหตุให้ปรุงแต่งได้

ที่ใดมีรูป ที่นั่นมีไตรลักษณ์

จิตของเรา มันคือตัวรู้ที่เป็นกลางๆ
เมื่อความคิดผ่านเข้ามา
แล้วผ่านไป ทุกข์ก็ยังไม่เกิด
เพราะความคิดก็เป็นเพียงรูปชนิดหนึ่ง

แต่เมื่อไรเราเผลอสติ
สำคัญผิดคิดว่าเราเป็นผู้คิ
นามรูปจึงปรากฏตัวทันที

แต่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเหตุเกิดทุกข์
ยังไม่ใช่ตัวทุกข์ที่เต็มร้อย
แต่มันจะก่อเกิดนามรูป
อายตนะ ผัสสะ เวทนา
อย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแล่บ

และมันจะเป็นที่ตั้งลงของกฎธรรมชาติ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
หรือไตรลักษณ์ในทันที

เพราะขึ้นชื่อว่ารูป
ไม่ว่าหยาบ กลาง ละเอียดขนาดไหน
ก็เป็นที่ตั้งของไตรลักษณ์ได้หมด

แต่กฎไตรลักษณ์จะไม่สามารถ
เข้าถึงนามหรือปรมัตถะสภาวะได้เลย
เพราะไม่มีที่เกาะเกี่ยว
ไม่มีเหตุให้ปรุงแต่งได้

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ทุกข์เพราะมีรูปอยู่ในนาม

ถ้าเราฝึกฝนสติปัญญาอย่างถูกต้อง
ตามหลักของสติปัฏฐาน ๔
ตามเฝ้าดูจิต ปลดปล่อยรูปทุกประเภท
ที่เข้ามาเกาะเกี่ยวเหนี่ยวนำจิต
ให้เหลือแต่ตัวรู้เท่าทัน คือนาม
ทุกข์ก็เกิดไม่ได้

ความรู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ
คือการรู้รูปรู้นาม รู้กายรู้ใจ
ตามความเป็นจริง
แล้วไม่ไปยึดกายว่าเป็นเรา
ยึดใจว่าเป็นเรา
เห็นกายก็คือกาย เห็นใจก็คือใจ

ความปรุงแต่งเป็นนามรูป
เราไม่ต้องไปหารายละเอียดมันเลย
แค่ปรุงแต่ง
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องเกิดทันที

ถ้ามีรูปนาม นามรูปก็เกิด
ถ้าเมื่อไรมีนามอย่างเดียว ไม่มีรูป
ทุกข์ก็ดับ
จำคอนเซ็ปต์หลักๆ นี้ไว้แล้วกัน

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ทุกสิ่งเป็นเพียงรูปนาม

การเห็นถูกต้องหรือสัมมาทิฏฐิ
ในภาษาของหลวงพ่อเทียนคือ
เห็นว่าทุกสิ่งเป็นเพียงรูปและนาม

แต่ในเบื้องต้น
เราไม่สามารถเห็นแบบนั้นได้
เพราะเรายังไม่รู้จักรูปนาม

การที่เราจะไปเห็นทุกอย่าง
ที่อยู่ข้างหน้าเราเป็นรูปนามได้
เราต้องเห็นตัวเราเอง
เป็นรูปนามให้ได้ก่อน

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

รูปนามอยู่ที่กาย นามรูปอยู่ที่ใจ

ความรู้สึกสบายและไม่สบายทางกาย
เรียกว่า“รูปนาม”

สำหรับความรู้สึกที่เกิดในจิตว่า
เราไม่สบายใจ รู้สึกเบื่อ รู้สึกหงุดหงิด
และปล่อยจิตคิดไปตามอาการของกาย
เรียกว่า “นามรูป”

แต่ถ้ารู้สึกรู้เห็นอาการทางกาย
และจิตไม่เข้าไปเป็นด้วย
แต่ทำหน้าที่เป็นผู้รู้อาการเหล่านั้นเฉยๆ
เรียกว่านามล้วนๆ
หรือสมมุติเรียกว่าสติ สมาธิ ปัญญา ก็ได้

ฉะนั้นถ้ามันเกิดที่กายอย่างเดียว
มันเป็น “รูปนาม”
แต่พอไปเกิดกับใจเรียกว่า“นามรูป”

แต่ตัวผู้รู้ทั้ง ๒ ส่วนนั้น เรียกว่า“นาม”
สติเป็นนาม สมาธิเป็นนาม
ปัญญาเป็นนามล้วนๆ

สติ สมาธิ ปัญญาไม่ใช่รูปนาม
และไม่ใช่นามรูป
แต่ว่ามันเป็นนาม มันเป็นผู้รู้นั่นเอง

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ไตรลักษณ์ทำให้เกิดรูปทุกข์

ในขณะที่เราปฏิบัติ
เราต้องพยายามเห็นอาการทั้ง ๓ อย่างชัด
คือ รูปนาม นามรูป และนามล้วนๆ
ให้ชัดๆ ไว้เสมอ
ว่าอาการแบบไหนที่เป็นรูปนา
แบบไหนเป็นนามรูป
และแบบไหนที่เรียกว่านามล้วนๆ
คือสติ สมาธิปัญญานั้นเอง

แต่เราจะไปห้ามไม่ให้เกิด
อาการไม่สบายทางกาย
เช่นปวดขาเป็นต้น ไม่ได้
และห้ามไม่ให้เกิด
อาการจิตคิดปรุงแต่ง
ไม่ให้มันเบื่อ มันเซ็ง ก็ห้ามไม่ได้
เพราะมันเป็นไตรลักษณ์
คือมันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น
ทุกรูปทุกนาม

อาการของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เกิดกับ “รูปนาม” เรียกว่า “รูปทุกข์”
ถ้าจิตไปทุกข์กับมันด้วยเรียกว่า “นามทุกข์”
นี้เป็นภาษาหลวงพ่อเทียน
อาจจะไม่มีในตำรา

ธรรมดาธรรมชาติเหล่านี้มีอยู่ตลอดเวลา
เราจะรู้ธรรมะ หรือไม่รู้ธรรมะมันก็มี

แต่ถ้าเราเป็นผู้รู้จักเรื่องจริง
ของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จะทำให้เราได้รู้ได้เห็นว่า อะไรเป็นอะไร
และเราจะเริ่มเรียนรู้สัจจธรรมของรูปของนาม
และสามารถพัฒนากำลังของสติ สมาธิ ปัญญา
ให้รู้เท่าทันการทำงาน
ของกฏไตรลักษณ์ทั้ง ๓ มากขึ้นเรื่อยๆ

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

รูปทำ นามทำ

หลวงพ่อเทียนเน้นอย่างจงใจว่า
ความจริงในภาคปฏิบัติ
ต้องใช้คำว่า รูปทำ นามทำ

สำหรับรูปธรรม นามธรรม ท่านบอกว่า
เป็นภาษาที่ถูกต้องตามหลักปริยัติ มันก็ไม่ผิด
แต่คำว่ารูปทำ นามทำ หมายถึง
อาการของรูปที่กำลังทำงานอยู่จริงๆ
ทำหน้าที่ของรูปตลอดเวลา มันทำอะไรบ้าง

เช่นขณะที่เรานั่งอยู่ รูปมันก็ทำงานตลอดเวลา
คือทำหน้าที่ของไตรลักษณ์
มันเปลี่ยนแปลงให้เรารู้เห็นตลอดเวลา
การเปลี่ยนแปลงของมัน
ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบาย
หรือเป็นทุกข์ทางกาย
เกิดดับสลับสับเปลี่ยนกันตลอดเวลา

ผลของมันออกมา ทำให้เราคอยแก้ไข
ปรับเปลี่ยนเอาความไม่สบายนั้นๆ
ออกไปเรื่อยๆ ที่เราเรียกว่า บำบัดทุกข์
และการบำบัดทุกข์
ทำให้เราต้องเคลื่อนไหวตัวเองทุกๆ ระยะ
ไม่เคยหยุดหย่อน

รูปทำหน้าที่หายใจของมันเอง
เราจะไปห้ามมันหยุดก็ไม่ได้
บอกให้มันมากน้อยก็ไม่ได้
มันทำของมันอยู่อย่างนั้น

ลมหายใจและการหมุนเวียนของเลือดในร่างกาย
ทำให้รูปทำงานเรียกรูปทำ
รูปทำงานแล้วทำให้ตาเราเห็นได้
สมมติเลือดเราหยุด เราไม่หายใจ
ตาเราก็ไม่เห็น หูเราก็ไม่ได้ยิน
จมูกก็ไม่ทำหน้าที่ ลิ้นก็ไม่ทำหน้าที่
กายก็ไม่ทำหน้าที่
รูปมันทำงาน ทำให้ตาเห็น หูได้ยิน
เขาเรียกรูปทำ

เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่ง ตึง
รูปก็ทำของมัน เป็นรูปทำ
แต่มันยังไม่เป็นรูปธรรม และไม่เคยเบื่อหน่าย
จนการเคลื่อนไหวกาย หรือรูปนาม
เกิดเป็นความเคยชิน
เป็นอัตโนมัติของทุกสัตว์ทุกตัวตน

ดังนั้น เราไม่ต้องสงสัยเลยว่า
การเฝ้าดูกายเคลื่อนไหว
เฝ้าดูใจนึกคิดตามสูตรหลวงพ่อเทียนนั้น
มันก็คือการตามดูเหตุและผลของทุกข์
ทั้งกายและใจ ที่เป็นกระแสขับเคลื่อน
ส่งทอดมาจาก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้นเอง
แล้วมันก็ไปตรงกับหลักของอริยสัจจ์ ๔
อย่างสนิทและกลมกลืน

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

นามทำงานตลอดเวลา

ทีนี้มาดู เรื่องของนามธรรมกันบ้าง
ท่านบอกว่า นามคือจิตวิญญาณ
หรือตัวรู้สึก
มันก็ทำงานตลอดเวลาเช่นกัน

นามทำก็เหมือนกัน
นามทำงานอะไร
ตาเราเห็นเป็นหน้าที่ของรูปด้วย
และของนามด้วย
ตาทำหน้าที่เห็น
ใจทำหน้าที่รู้จักว่าเป็นอะไร
ถ้าเราลืมตามา จะไม่ให้ใจมันรู้ก็ไม่ได้
นามมันทำงานทางตา
เวลาได้ยินเสียงจะมาบอกว่าอย่าได้ยิน
ว่าเป็นเสียงอะไรก็ไม่ได้
เรียกว่านามมันทำงานเวลาอากาศเย็น หนาว ร้อน
จะไปห้ามร่างกายไม่ให้หนาว
ไม่ให้ร้อนก็ไม่ได้
เพราะใจมันไปรู้ว่าเป็นร้อนเป็นหนาว
เรียกนามทำ
แต่ส่วนใหญ่เรามองไม่ค่อยออก
ไม่ค่อยได้เห็นชัดเจน
ว่าจิตมันทำงานอยู่หลวงพ่อเทียนท่านแยกว่า
ตอนแรกเป็นรูปทำงานก่อน
ต่อมารูปจะเป็นธรรมะก็ต่อเมื่อ
มีสติ สมาธิ ปัญญาพระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

รูปทำงานร่วมกับนาม

“รูปทำ” เป็นหน้าที่ของรูป
ตาหูจมูกลิ้นกาย
รูปทำงานร่วมกับนามอย่างไร?

ใจทำหน้าที่ของมัน
เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม
มันทำงานของมันอย่างนั้น
รับรู้ตาหูจมูกลิ้นกาย
เราเรียกว่าวิญญาณรับรู้
ไม่ว่าคนหรือสัตว์มีรูปทำ นามทำ
เหมือนกันหมด

ส่วนรูปทำ มันจะเปลี่ยนเป็นธรรมะเมื่อไร
นามทำ มันจะเปลี่ยนเป็นธรรมะเมื่อไร
ตรงนี้สำคัญ มันจะเป็นธรรมะก็ต่อเมื่อ
รูปทำงาน แล้วเรามีใจเข้าไปรู้ตาม

เช่นเราหายใจ
เมื่อตัวรู้ เข้าไปตามดูลมหายใจ
ขณะหายใจเข้า สติก็ตามรู้
หายใจออก สติก็ตามไปรู้

ทุกส่วนของกายที่เคลื่อนไหว
ด้วยอำนาจของทุกข์
ที่เกิดจากกฏของไตรลักษณ์
สติก็ตามรู้
ตรงนี้ ก็เกิดเป็น
รูปธรรม นามธรรม ขึ้นแล้ว

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

เป็นรูปธรรม นามธรรม เพราะมีสติ

ตัวสติเข้าไปรับรู้การทำงานของกาย
เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมา
แต่ไหนแต่ไร เราหายใจตั้งแต่เล็กจนโต
มันก็เป็นเพียงรูปทำ
ขาดสติเข้าไปตามรู้
มันจึงไม่เป็นรูปธรรม

แต่เมื่อเราได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
ถึงเรื่องเจริญสติปัฏฐาน ๔ แบบต่อเนื่อง
โดยเอาสติ หรือตัวรู้
ไปตามดูลมหายใจเข้า หายใจออก
นามธรรมมันก็เกิด

ดังนั้น ตามหลักปฏิบัติและเข้าใจแบบนี้
กายมันจะเป็นธรรมะเมื่อไรก็พิสูจน์ได้
แต่ถ้าเราจะลุก นั่ง ย่าง เดินเวลาใด
เราก็ลุกไปเลย อันนี้เรียกว่า มีแต่รูปทำ

แต่พอเรามีสติเข้าไปตามรู้
ลุกขึ้นก็รู้ เดินก็รู้
การทำงานของรูป
กลายเป็นรูปธรรม นามธรรมทันที

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

รูปทำเป็นสัญชาตญาณ รูปธรรมเป็นปัญญาญาณ

ดังนั้น คำว่า“รูปทำ”
จึงเป็นเรื่องของรูปทำงาน
ด้วยการบำบัดทุกข์ตามธรรมชาติ
ตามความเคยชิน
หรือทำตามสัญชาตญาณ

แต่ถ้าเป็น “รูปธรรม”
มันเป็นการทำงานของสติสัมปชัญญะ
ตัวรู้สึกที่ตามรู้เห็นบ่อย
จึงถูกเปลี่ยน “ปัญญาญาณ” ขึ้นมา
แทนที่จะเป็นเพียงสัญชาตญาณ

ส่วน “ปัญญาญาณ”
จะเกิดมากน้อยเท่าใด
ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของ
อินทรีย์ ๕ และพละ ๕ อีกทีหนึ่ง

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ Buddhism Vipassana วิปัสสนา ศาสนาพุทธ พุทธศาสนา

รูปโรค นามโรค

รูปทำก่อให้เกิดเป็นรูปธรรม ธรรมะแยกเป็นสมมติกับปรมัตถ์ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว หลวงพ่อเทียนก็ให้รู้ต่อไปว่า รูปโรคนามโรค รูปมันมีโรค เรานั่งอยู่นี่มันเกิดตลอด

รูปโรคนามโรคเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเวทนา ซึ่งมี ๓ ลักษณะคือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา เมื่อใดมันเป็นทุกขเวทนาขึ้นมา มันก็เป็นโรค ทุกขเวทนาเกิดจากโรคทั้งโดยสภาวะและโดยสมุฏฐาน โรคจึงมี ๒ อย่าง

๑. โรคโดยสภาวะ เกิดจากไตรลักษณ์ของกายและใจโดยตรง เช่นเมื่อเรานั่งนานมันเป็นทุกข์ อันเกิดจากอนิจจังทุกขัง อนัตตามันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงไปสู่ตัวโรคคือตัวทุกข์นั่นเอง โรคชนิดนี้ต้องบำบัดเรื่อยๆ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หมอรักษาไม่ได้ เพราะหมอเองก็เป็นเหมือนกัน หมอนั่งนานๆก็ปวด คนไม่มีสติก็สามารถบำบัดเองได้โดยสัญชาตญาณ แต่คนที่ใช้สติเข้าไปบำบัดก็จะกลายเป็นตัวปัญญาขึ้นมา โรคโดยสภาวะเราบำบัดโดยใช้สติสมาธิปัญญาโดยตรง ในการเปลี่ยนอิริยาบทไปเรื่อยๆอย่างรู้สึกตัว

๒. โรคโดยสมุฏฐาน เกิดจาก กรรม จิต อุตุ อาหาร ทำให้เกิดความผิดปกติในร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง โรคตับ โรคไต ฯลฯ หมอรักษาได้แต่ไม่หมด ต้องเอาตัวสติปัญญาเข้ามารักษาด้วย

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ Buddhism Vipassana วิปัสสนา ศาสนาพุทธ พุทธศาสนา

กรรม

เราเดินไม่ระวัง
เอาหัวแม่เท้าไปเตะหินเข้า
เกิดบาดแผล

การที่เราเอาเท้าไปเตะหิน
เป็นกายกรรม
แต่ถ้าเราเดินอย่างระมัดระวัง
เราก็จะไม่ไปเตะหิน
กรรมนี้จึงป้องกันได้
โดยมีสติเข้าไปรักษา

จะเป็นกรรมหนักหรือกรรมเบา
ขึ้นอยู่กับมีสติมากหรือน้อ
ถ้าขาดสติมากๆ ล้มเต็มที่
ก็อาจจะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ Buddhism Vipassana วิปัสสนา ศาสนาพุทธ พุทธศาสนา

จิต

ตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นของร้อน
รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเป็นของร้อน
เมื่อจิตของเราไปสัมผัส
ก็ยิ่งร้อนเข้าไปอีก
ถ้าเราสัมผัสไม่ถูก
เราก็คิดปรุงแต่งขึ้นมา
เป็นความอยาก ความไม่พอใจความโลภ ความโกรธ ความหลง
ก็เป็นของร้อน
เมื่อเราเพิ่มความร้อนให้กับจิต
และจิตส่งความร้อนสู่กาย
กายถูกเผามากเข้า
เซลในร่างกายก็ตาย
ระบายออกไม่ทัน กลายเป็นมะเร็ง
เบาหวาน ความดัน หัวใจเราก็เอาสติปัญญาเข้าไปแก้
สังเกตร่างกายของเรา
สังเกตอารมณ์ที่เราคิด
เป็นเรื่องดีหรือไม่ดี
ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีก็ร้อนแน
ถ้าปรุงแต่งคิดไปทาง
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
เป็นเรื่องเย็น จิตเราก็จะเย็นทุกวันนี้คนจึงตกนรกกันมาก
เพราะสั่งสมความร้อนที่มาจากจิต
ความร้อนคือไฟ เรียกว่าไฟนรก
ใครที่มีโรคมากก็ตกนรกมาก

โรคทางจิตก็เช่นกัน
ใครที่ติดอารมณ์มากๆ
จิตไม่เป็นอิสระก็ตกนรกหลายชั้น
คนไหนไม่พอใจนานๆ
ก็ไปติดนรกชั้นนั้นนานหน่อย
แต่คนไหนออกจากอารมณ์นั้นได
จิตใจปลอดโปร่ง
ก็ออกมาจากนรกชั้นนั้นได้เร็วขึ้น

เราจะออกจากนรกได้ต้องอาศัย
สติ สมาธิ ปัญญา
ถ้าเราไม่เจริญสติ สมาธิ ปัญญา
เราจะออกจากนรกไม่ได้เลย

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ Buddhism Vipassana วิปัสสนา ศาสนาพุทธ พุทธศาสนา

อุตุ

อุตุไม่ได้แปลว่าอากาศอย่างเดียว
แต่หมายถึงพลังงาน
ที่มีอยู่ในร่างกายของเรา
ถ้าพลังงานในร่างกายเราอ่อนแอ
เรียกว่าภูมิต้านทานต่ำ
ธาตุของเราต่ำ ก็ต้องเพิ่มพลังเข้าไป
พลังปราณต่างๆ
ก็คือพลังของตัวสมาธินั่นเอ
พลังทางรูป ได้แก่
มีร่างกายดี มีสุขภาพดี
มีการออกกำลังกายเป็นประจำ
พลังใจดีก็มีการเจริญสติสมาธิเป็นประจำแต่ถ้าพลังกายพลังจิตเราอ่อ
โรคภัยไข้เจ็บก็เกิด
โรคที่เกิดจากอุตุ
จึงต้องแก้ด้วยสติ
สมาธิ ปัญญา เหมือนกัน

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ Buddhism Vipassana วิปัสสนา ศาสนาพุทธ พุทธศาสนา

อาหาร

อาหารที่มีสารเคมี ยาฆ่าแมลง
หรืออาหารที่มีส่วนผสม
ตรงกันข้ามกับธาตุของเรา
ก็เป็นเหตุให้เกิดโรคได้
การมีสติ สมาธิ ปัญญา
ในการรับประทานอาหาร
ก็ช่วยป้องกันรักษาโรค
ที่เกิดจากอาหารได้เช่นกัน
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ Buddhism Vipassana วิปัสสนา ศาสนาพุทธ พุทธศาสนา

เห็นไตรลักษณ์หมื่นครั้ง

เมื่อเรารู้สาเหตุแล้ว
ก็รู้วิธีแก้โดยการเจริญสติปัฏฐาน ๔
เจริญสติ สมาธิ ปัญญา บ่อยๆ
ก็จะเห็นความเป็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา ของรูปนามเมื่อเห็นบ่อยเข้าก็เกิดปัญญา
แต่ถ้าไม่เห็นบ่อยๆ ปัญญาก็ไม่เกิด
ต้องเป็นร้อยครั้ง พันครั้ง
หมื่นครั้ง แสนครั้ง ปัญญาจึงจะเกิดก็ต้องดูบ่อยๆ ดูตั้งแต่เช้าจรดเย็น ดูทุกวัน
หลวงพ่อเทียนจึงให้เข้าเก็บอารมณ์
เพื่อดูอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ตลอด ๒๔ ชั่วโมงเมื่อดูจนสุกงอม
ก็จะเกิดปัญญาสว่างโพล่งขึ้นมา
มันเห็นความจริง เกิดนิพพิทาวิราคะ
เกิดความเบื่อหน่ายคลายจาง
การยึดมั่นถือมั่น

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ Buddhism Vipassana วิปัสสนา ศาสนาพุทธ พุทธศาสนา

เห็นรูปนามแล้วก็จะเห็นไตรลักษณ์

ทั้งโรคโดยสภาวะ
และโรคโดยสมุฏฐาน
ถ้ามีสติเข้าไปกำหนดรู้
เรียกว่ารู้รูปโรค นามโรค
กลายเป็นรูปธรรม นามธรรม
และกลายเป็นตัวปัญญา
แต่ถ้าไม่มีสติไปกำหนดรู้
ก็แก้ไขได้เหมือนกัน
แต่เป็นแบบสัญชาตญาณ
ซึ่งเป็นโมหะแต่ท้ายที่สุดเราก็จะพบว่า
โรคทั้ง ๒ นี้ มีที่มาเดียวกัน
คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเท่านั้นตามขั้นตอนของหลวงพ่อเทียน
เมื่อเรารู้จักรูปนาม
รูปทำ นามทำ รูปโรค นามโรค
ก็จะรู้จักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยอัตโนมัติ

สิ่งที่ท่านนำมาสอน
คือนำเอาตัวสภาวะที่ปรากฏอยู่ มาแยกย่อย
ให้เห็นรายละเอียดของมัน
ตัวสังเกตของเราก็ลึกขึ้น

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ Buddhism Vipassana วิปัสสนา ศาสนาพุทธ พุทธศาสนา

สำรอกกิเลส

ถ้ายังไม่เกิดปัญญา
เราทำเป็นไม่ยึดมั่นถือมั่นเฉยๆ
เป็นเพียงสมมติ

แต่ตัวยึดมั่นถือมั่น
มันจะหายไปไม่กลับมา
ต้องเกิดนิพพิทาญาณ นิพพิทาวิราคะ
เกิดความเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เราหลง
เหมือนกับเราไปกินของแสลง
ทำอย่างไรจึงจะสำรอกออกมาได
เมื่อมันออกไปแล้วก็โล่งเลย

อาการของทุกข์ก็เหมือนกัน
ให้มันสำรอกออกมา
มันถึงจะเกิดความเหนื่อยหน่าย
ต่อมาก็เกิดการปล่อยวาง
ความยึดมั่นถือมั่น
จิตเราก็เป็นอิสระขึ้น
เห็นอะไรก็เฉยๆ ไม่อยากได้

เห็นสิ่งที่ชอบก็เฉยๆ
เห็นสิ่งที่ชังก็เฉยๆ
เพราะรู้ว่ามันมีพิษ
มันก็ไม่สะสมตัวอุปาทาน

สิ่งที่ดีทำให้เราเป็นทุกข์เพราะอัตตา
สิ่งที่ไม่ดีก็เป็นทุกข์
แต่จะสลัดได้เร็วกว่า
เพราะอัตตาเป็นรากที่ลึก

Direk Saksith
www.buddhayanando.com
f: พระพุทธยานันทภิกขุ, พลิกใจให้ตื่นรู้,
หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท, เซนสยาม,
Dynamic Meditation (นวัตกรรมแห่งสติ)