ศัตรูตัวจริง

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา

ใครคือศัตรูตัวจริง?

การไม่รู้จักตัวเอง

จึงต้องต่อสู้กับตัวเอง
และเป็นศัตรูของตนเอง
 
ตลอดเวลาเราจึงต้องต่อสู้กับตัวเอง
ซึ่งเป็นศัตรูที่เรามองไม่เห็นตัว
และไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า
 
เราต่อสู้กับศัตรูที่ว่างเปล่า
ไร้ตัวตน มาตลอดกาล
นับภพชาติไม่ถ้วน
 
วิธีเดียวที่จะชนะศัตรูนี้ได้
คือ ต้องรู้ว่าเรากำลังต่อสู้กับใคร
โดยใช้สติปัญญาที่สามารถ
นำจิตออกมาจากอำนาจของ
อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม
ทั้งสี่ประการ
 
หากปล่อยให้มันเติบโตเรื่อยๆ
เราจะตกเป็นทาสของอัตตา
ที่เราเองเป็นผู้สร้างขึ้นมา
 
อัตตา คือผลงานการสร้างของ
อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม
ดังนั้น ศัตรูที่แท้จริงของเราทุกคน
ก็คือ ความไม่รู้เท่าทันตัวเองนั้นเอง

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา

น้ำมันปัญญาญาณไร้สารปรุงแต่ง

ความเห็นมีสองชนิด คือ
ความเห็นที่ยังเป็นเวทนา
และความเห็นที่เป็นปัญญา
คือ ผู้เฝ้าดูเวทนาอีกชั้นหนึ่ง
 
อุปมาเหมือนกับน้ำมัน
มีสองชนิด คือ
น้ำมันที่ยังมีน้ำปนเปื้อนอยู่
กับน้ำมันที่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์
 
น้ำมันที่ปนเปื้อน
เหมือนปัญญาญาณ
ที่ยังมีความรู้สึกของเวทนา
ปนเปื้อนอยู่
เพราะเวทนายังเป็นชราธรรม
 
ยังมีความสำคัญผิดว่า
เวทนาเป็นเราอยู่
ยังมีผู้เสวยทุกข์
ที่เกิดจากความเป็นเรา
 
เมื่อเวทนาถูกปัญญาเพ่งเผา
จนแปรเปลี่ยนเป็นปัญญาแล้ว
เวทนาก็หมดอำนาจไป
 
น้ำมันที่บริสุทธิ์แล้ว
จะไม่มีน้ำ หรือสารปนเปื้อน
หลงเหลืออยู่เลย
เพราะถูกความร้อนแรงสูงเผาผลาญ
กลั่นกรองจนเป็นน้ำมันบริสุทธิ์ฉันใด
 
สติสัมปชัญญะ
ที่ถูกกลั่นกรองเผาผลาญ
ด้วยความเพียรแรงสูง
จะกลั่นตัวเป็นปัญญาญาณ
เผาผลาญเอาเวทนา
ที่ยังปนเปื้อนอยู่ด้วยอัตตาตัวตน
ออกไปโดยสิ้นเชิงก็ฉันนั้น
 
สารปนเปื้อน
ชนิดหยาบ เรียกว่า กิเลสกาม
ชนิดกลาง เรียกว่า กิเลสสังโยชน์
ชนิดละเอียด เรียกว่า กิเลสอาสวะ

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา

ล้างบาปด้วยสติสัมปชัญญะ

กำลังของปัญญาญาณเท่านั้น
ที่จะต้านทานต่อลอง
กับความคิดปรุงแต่งได้
 
การสังเกต และเฝ้าดูการเคลื่อนไหว
เป็นเพียงเครื่องมือ
ทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ
และปัญญาเบื้องต้นเท่านั้น
 
ถามว่า ก่อนหน้านั้น
คนเราไม่มีสติสัมปชัญญะหรือ ?
มีเหมือนกันทุกคน
แต่มันเป็นสติที่ไม่มีกำลัง
 
เพราะกำลังของสติสัมปชัญญะ
ถูกตัวคิด ตัวสังขาร
ดูดไปใช้เกือบหมดในแต่ละวัน
 
เราจึงต้องมากระตุ้นความรู้สึกตัว
ทุกรูปแบบ
เพื่อให้เกิดพลังสติสัปชัญญะมากพอ
จนสามารถสร้างพลัง
ต่อรองกับความคิดได้
 
โดยรู้จักขัดขืนต่อแรงดึงดูด
ของความคิดได้บ้าง
ด้วยการปรารภความเพียรบ่อยๆ
ด้วยการเดินจงกรมนานๆ
นั่งทำจังหวะนานๆ เรียกว่า ตบะ
 
และตัวความเพียรนี้เอง
ที่จะทำให้เกิดปัญญารู้เท่าทัน
ความคิดปรุงแต่งได้อย่างทันเวลา
 
แต่ถ้าไม่ใช้ปัญญาที่เกิดจากความเพียร
ก็ยากที่จะเท่าทันกันได้
เพราะในองค์ประกอบ
ของสติปัฎฐานที่สำคัญ
ที่ท่านสรุปไว้ท้ายบทสวดทุกครั้งว่า
 
“อาตาปี สัมปชาโน สติมา” แปลว่า
ต้องมีความเพียรเครื่องเผาบาป
มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ
 
สรุปว่า สติปัญญาที่เกิดจาก
การปรารภความเพียรเท่านั้น
ที่จะจัดการกับความคิดได้
 
เพราะความคิดปรุงแต่ง
เป็นต้นตอของบาปตัวจริง
ถ้าคิดจะล้างบาป
ก็ล้างความคิดปรุงแต่งเท่านั้นแหละ
ไม่ยากอะไรเลย

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา

ต้องมีปัญญาก่อน ถึงจะใช้สติเป็น

ความคิดกับความจริง
มันเหมือนปลากับน้ำ
หรืออากาศดีกับอากาศเสีย
มันดูเหมือนจะแยกกันยาก
แต่ก็มีวิธีการ
 
จะแยกปลาจากน้ำ
โดยไม่มีเครื่องมือคงไม่ได้
ส่วนจะใช้วิธีไหน
ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน
เช่น ใช้แห อวน เบ็ด เป็นต้น
 
ทางปรมัตถ์ บางคนใช้สมถะ
(เอาสมาธินำหน้าสติสัปชัญญะ)
บางคนใช้วิปัสสนา
(เอาสติสัมปชัญญะ นำหน้าสมาธิ)
บางคนใช้ทั้งสองอย่าง
(ใช้ทั้งสองอย่างเท่าๆ กัน)
แล้วแต่อารมณ์ไหนจะมาเข้มกว่า
ระหว่างกิเลสแบบหยาบ กลาง ละเอียด
 
ส่วนคำว่า ใช้สติอย่างไร
คุณต้องมีปัญญาก่อนถึงจะใช้สติเป็น
 
แต่ถ้าขาดปัญญา
คุณก็ใช้สติไปบังคับจิต
กลายเป็นสมถะ
หรืออาจจะเปลี่ยนเป็น
มิจฉาสมาธิได้ในที่สุด
 
ถามว่าจะตรวจสอบการปฏิบัติ
ของตนได้อย่างไร
ก็ทดสอบการใช้สติบ่อยๆ
ว่าผลออกมาอย่างไร
 
ถ้ามันเป็นสัมมาสติ
มันรู้สึกเบาสบาย ไร้การปรุงแต่ง
และไม่ลังเลสงสัย
ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
 
ถ้ามันเป็นมิจฉาสติ
ผลออกมามันก็รู้สึกตรงข้ามกันหมด
เช่น อึดอัด ลังเลไม่มั่นใจ
 
ถ้าเป็นอย่างนี้
ก็แนะนำให้ไปพบกับหมอ
หรือครูอาจารย์อย่างเร่งด่วนนะ
 พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา

จิตของเราถ้าจะเกิดโลกุตตรปัญญา
มันจะต้องมีความสุขเสียก่อน
มีปีติมีปัสสัทธิก่อน
ตัวปัญญามันถึงจะเกิดขึ้น

ตัวปัญญาเป็นลักษณะของ
ความเบาสบายปลอดโปร่ง
ปัญญาที่เป็นโลกุตตระถึงเกิด

แต่ปัญญาที่เป็นโลกียะ
เกิดจากความรู้สึกนึกคิด
จดจำพินิจพิจารณา
มันไม่ได้เกิดจากความรู้สึก
โล่งโปร่งเบาเหมือนโลกุตตรปัญญา
ก่อนที่จะไปอยู่เหนือสุขได้
ต้องผ่านสุขเสียก่อน
เห็นความสุขเป็นเพียงบันไดขั้นหนึ่ง
ความทุกข์ก็เป็นบันไดขั้นหนึ่ง
ให้เหยียบขึ้นเหนืออารมณ์
เหมือนกับเราเหยียบบันไดขึ้นไป
เหนือบันไดก็คือบ้านที่อยู่ของกาย
เหนือสุขทุกข์ก็คือที่อยู่ของจิต
เหนืออารมณ์ก็คือเหนือกายเหนือใจ
ไปอยู่กับความจริงความรู้

จิตหลอกตัวเอง

เมื่อลงมือปฏิบัติ
ความอยากด้วยตัณหา
ก็ตั้งต้นตรงนั้นแหละ

เมื่อความอยากรู้ที่เกิดบ่อยๆ
และตั้งอยู่นานๆ
ความรู้สึกตัวแบบซื่อๆ ง่ายๆ
ก็หายไป

เพราะความรู้สึกตัวธรรมดาๆ
ไม่เห็นมีสีสันอะไรลึกซึ้งพิสดาร
พอรู้สึกตัวแป๊บ เดี๋ยวก็ลืม
กลับไปเล่นกับความคิดปรุงแต่ง
เรื่องอื่นๆ โดยไม่รู้ตัว

ให้พยายามอดทน
อยู่กับความรู้สึกตัวแบบซื่อๆ
สดๆ ง่ายๆ ตื้นๆ นี้ให้นานๆหน่อย

แล้วจิตเดิมแท้จะคอยบอกเราว่า
ความรู้สึกตัวแท้ๆ นั้นเป็นอย่างไร
แบบไหนเป็นความรู้สึกตัว
ที่กิเลสสร้างขึ้นมา
แบบไหนเป็นความรู้สึกตัว
แบบมีสติปัญญา

ต้องหมั่นเฝ้าดู หมั่นสังเกต
ให้อยู่กับความรู้สึกตัวจริงๆ
แล้วจิตจะสร้างภาพความคิดมายาต่างๆ
มาหลอกเราไม่ได้

คนที่ปฏิบัติใหม่ๆ
จะหลงไปกับความคิดได้ง่าย
แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปต่อต้านหรือเก็บกด
ให้มีสติรู้เท่าทันมันไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวมันก็หยุดของมันเอง
มันคิดใหม่ก็รู้ใหม่ไปเรื่อยๆ

Direk Saksith
www.buddhayanando.com
f: พระพุทธยานันทภิกขุ, พลิกใจให้ตื่นรู้,
หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท, เซนสยาม,
Dynamic Meditation (นวัตกรรมแห่งสติ)