หลวงพ่อเทียน ความมหัศจรรย์ในพระธรรมดา

ถ้าท่านทั้งหลายได้พบ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ก็คงจะมีความเห็นคล้ายกันว่าท่านเป็นหลวง ตาที่มีความสงบ และพูดน้อยเช่นเดียวกับหลวงตาที่พบเห็นทั่วๆไป แต่ถ้าได้สังเกตตัวท่านบ้างก็จะรู้สึก ว่าท่ามกลางความสงบนั้น ท่านมีความตื่นตัว รู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา และเมื่อมีโอกาสซักถามปัญหา ต่างๆ ก็ได้ประสบกับความมหัศจรรย์ของหลวงตา ผู้ที่เกือบจะเรียกได้ว่าไม่รู้หนังสือ ที่เน้นสอนเรื่องสติ อย่างเดียวมาตลอด ท่านได้แสดงออกถึงปัญญาอันหลักแหลม โดดเด่นในการตอบปัญหาแทบจะเรียก ได้ว่า ?เหลือเชื่อ? สำหรับผู้ที่ไม่เคยผ่านการศึกษาเล่าเรียนในรูปแบบที่เรายอมรับและยกย่องกัน ท่าน สามารถตอบชี้แจงด้วยคำพูดที่ง่าย กระชับ เต็มไปด้วยความหมาย เข้าใจได้ชัดเจน หมดข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเรียกขานท่านในชื่อใด สมญานามใดก็ตาม ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่ท่านสอนหรือตอบ นั้น แม้ในคำถามพื้นๆธรรมดาที่เราสงสัยก็เต็มไปด้วยคุณค่า เปรียบได้ดังกับการจุดไม้ขีดไฟให้ความ สว่างในความมืด ทำให้เห็นหนทางหรือเกิดความสว่างในปัญญา อันเป็นประโยชน์แก่ผู้ต้องการ และ แสวงหา ที่อยู่ท่ามกลางความมืด ความไม่รู้ ความสงสัย และ ความไม่เข้าใจทั้งหลายไม่มากก็น้อย
คำตอบและข้อคิดเห็นต่อไปนี้ได้จากคำถามที่ข้าพเจ้า และคณะแพทย์ผู้รักษาได้ถามท่านใน ช่วงเวลา 5 ปี สุดท้าย ขอบันทึกไว้เพื่อว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ทั้งนี้ ไม่ได้หวังเพื่อยกย่องเชิดชู หรือ ชักจูงให้เลื่อมใสโดยปราศจาก วิจารณญาณไตร่ตรอง ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละบุคคลที่เราพึงเคารพ
ศาสนา
หลวงพ่อกล่าวถึงศาสนาว่า ?ศาสนา คือ คน? เมื่อฟังหรืออ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจจึงได้ถามท่าน ว่าศาสนา คือ ?คน? จริงหรือไม่ ท่านตอบว่า?ศาสนาเป็นเพียงคำที่เราเรียก คำสอน คน โดย คน ที่ถือ ว่าเป็นผู้รู้ มีหลายอย่างถ้าจะให้พูดเรื่องศาสนา จะมีแต่ทำให้เกิดข้อสงสัยและโต้เถียงกันขอไม่พูด แต่ ถ้าอยากรู้ว่าความจริงของชีวิตเป็นอย่างไร จะเล่าให้ฟัง เมื่อรู้แล้วจะหมดสงสัยในคำว่า ?ศาสนา?
ธรรมะไม่ใช่เสื้อผ้า
หลวงพ่อเคยกล่าวว่า ท่านเคยมีความเข้าใจผิดคิดว่า ธรรมะ เป็นสิ่งนอกกายเหมือนกับเสื้อผ้า ที่จะต้องเสาะแสวงหามาห่อหุ้มสวมใส่ แท้ที่จริงแล้วธรรมะนั้นมีอยู่ในตัวเรานี่เอง
การศึกษาธรรมะ
ท่านเคยกล่าวถึงการศึกษาธรรมะว่า ?การศึกษาธรรมะเพียงเพื่อเอาไว้พูดคุยและถกเถียงกันนั้น ได้ประโยชน์น้อย เราต้องนำมาใช้และปฏิบัติให้ถึงที่สุด จะได้ประโยชน์มากกว่า?
การปฏิบัติธรรม
เคยถามท่านว่าทำไมการสอน และ การปฏิบัติธรรม จึงมีความแตกต่างกันไปตามสำนักต่างๆ ทั้งๆที่ มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน ท่านตอบว่า ?เรื่องนี้เป็นธรรมดา แม้ในสมัยพุทธกาลก็มีคนกล่าวว่า มีตั้ง 108 สำนัก แต่ละแห่งก็ต้องว่าของตัวถูกต้อง อีก 107 แห่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ ตัวเราเอง จะต้องเป็น คนไตร่ตรองพิจารณาเอง การที่เป็นคนเชื่อง่าย หรือเป็นคนเชื่อยากไม่ฟังคนอื่น ต่างก็ไม่ดีทั้งนั้น ถ้า การปฏิบัติดังกล่าวทำให้ทุกข์หมดไปถือว่าใช้ได้ สำหรับเรื่องธรรมะนั้น คนที่รู้ธรรมะที่แท้จริง จะต้องรู้ อย่างเดียวกัน เมื่อมีคนถามถึงการปฏิบัติธรรมะในรูปแบบอื่นๆว่าดีหรือไม่ ท่านกล่าวว่า?ดีของเขาไม่ใช่ ดีของเรา?
การศึกษาทำให้คน ดี ชั่ว จริงหรือไม่ ?
เคยถามว่า ทำไมผู้ที่เคยบวชเรียนมามาก บางคนเมื่อสึกไปแล้ว กลับประพฤติตัวเหลวไหลยิ่งกว่า ชาวบ้านที่ไม่เคยบวชเรียนเลย หลวงพ่อตอบว่า?คนเหล่านั้นเรียนแต่ตัวหนังสือ ไม่เคยเรียนรู้ ตัวเอง?
คนตายทำประโยชน์ได้น้อย
ท่านได้พูดถึงการศึกษาปฏิบัติธรรมะว่า ควรทำตอนชาตินี้ ไม่ควรคอยตอนตายแล้ว ? คนตายแล้ว ทำประโยชน์ได้น้อย คนเป็นทำประโยชน์ได้มากกว่า ?
ทำไมจึงแสวงหาธรรมะ
ข้าพเจ้าเคยเรียนถามท่านว่า ท่านมีแรงบันดาลใจอย่างไรจึงแสวงหาธรรมะ ท่านตอบว่า ?ท่าน เคยทำบุญทำทานมาตลอด ทอดกฐินอยู่เสมอ ครั้งสุดท้ายในงานทอดกฐิน ท่านได้มีปัญหาในเรื่องที่ จะทำบุญกับคนในบ้าน ท่านจึงคิดว่าทั้งๆ ที่ท่านทำบุญให้ทานก็มากแล้ว ทำไมจึงยังมีความทุกข์เกิด ขึ้นได้อีก ท่านจึงตัดสินใจที่จะแสวงหาธรรมะที่จะพ้นทุกข์ได้ตั้งแต่บัดนั้น?
ทำไมจึงบวช
ตามที่ทราบ ท่านได้รู้ธรรมะตั้งแต่เป็นฆราวาส ทำไมท่านจึงบวช ท่านตอบว่า?พระภิกษุเป็นสมมติ สงฆ์ การบวชทำให้สอนคนได้ง่ายขึ้น?
รู้จักหลวงพ่อเทียนไหม ?
ท่านเคยเล่าให้ฟัง เมื่อตอนที่ท่านกำลังคอยรับการฉายรังสีที่โรงพยาบาลรามาธิบดี มีคนถาม ท่านว่า ?หลวงพ่อรู้จักหลวงพ่อเทียนไหม? ท่านตอบว่า ?พอรู้จักบ้าง? หลังจากที่ได้พูดคุยเรื่องธรรมะ กับท่านแล้ว คนนั้นก็สงสัยจึงถามอีกว่า ?ท่านคือ หลวงพ่อเทียนใช่ไหม? หลวงพ่อจึงตอบว่า ? ใช่ ?
หลวงพ่อเทียนสอนแบบฉีกตำรา ?
ข้าพเจ้าได้เรียนถามท่านว่า คนทั่วไปย่อมยึดถือพระไตรปิฎกเป็นตำราในการศึกษาพุทธศาสนา แต่เวลาหลวงพ่อสอนไม่ค่อยเห็นพูดถึงเลย ท่านให้ความเห็นว่า ?พระไตรปิฎกนั้นจารึกหลังพระพุทธ เจ้าปรินิพพานหลายร้อยปี และคัดลอกต่อกันมานับพันปี คนเขียนคงเขียนดีแล้ว แต่คนอ่านจะเข้าใจ เหมือนคนเขียนหรือไม่ ยังสงสัย ถ้าจะเอาแต่อ้างตำรา ก็เหมือนกับว่าเราต้องรับรองคำพูดของคนอื่น ซึ่งหลวงพ่อไม่แน่ใจ แต่สิ่งที่เล่าให้ฟังนั้น ขอรับรองคำพูดของตัวเอง เพราะจากประสบการณ์จริงๆ?
?ตำราเปรียบเสมือนแผนที่ เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ทางไป หรือ ยังไปไม่ถึงจุดหมายผู้ที่ไปถึง แล้วแผนที่ก็หมดความหมาย?
?พระไตรปิฎกเขียน ด้วยภาษาอินเดีย เหมาะสำหรับคนอินเดียหรือคนเรียนภาษาอินเดียอ่าน แต่ ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องผูกขาดของคนใดคนหนึ่ง เป็นเรื่องอยู่เหนือ ภาษา เชื้อชาติ เพศ และ เวลา ถ้าเรารู้ธรรมะที่แท้จริงแล้วจะต้องรู้และเข้าใจในภาษาของเราได้?
?การศึกษาพระไตรปิฎกนั้นดี แต่อย่าให้ติดและเมาในตัวหนังสือ มะม่วงมีชื่อเรียกหลายอย่าง หลายภาษา อย่ามัวแต่ถกเถียงตีความ หรือยึดถือว่าจะต้องเรียกอย่างไร แล้วปล่อยให้มันเน่า ใครที่ได้ กินมะม่วงก็ย่อมรู้ว่ารสมะม่วงเป็นอย่างนั้นเอง ไม่ว่าจะเรียกชื่ออะไร หรือไม่มีชื่อเลยก็ตาม?
พระเครื่อง
ก่อนที่จะทราบว่าท่านเป็นใคร ข้าพเจ้าได้พบท่านในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังสนใจพระเครื่อง เป็น อย่างยิ่ง ได้เอาพระนางพญาพิษณุโลกมาอวด เพื่อที่จะได้ถือโอกาสขอพระเครื่องจากท่านโดยอวดว่า พระนางพญาพิษณุโลกนี้เป็นพระเครื่องที่เก่าแก่สร้างมาตั้ง 700 ปีแล้ว ท่านถามว่า ?พระองค์นี้ทำจาก อะไร? เมื่อข้าพเจ้าตอบว่า ทำจากเนื้อดินเผา แกร่ง สีเนื้อมะขามเปียกมีแร่ต่างๆปรากฏอยู่เต็ม ท่าน ตอบด้วยความสงบว่า ?ดินนั้นเกิดมาพร้อมกันตั้งแต่สร้างโลก พระองค์นี้ไม่ได้เก่าแก่ไปกว่าดินที่เรา เหยียบก่อนเข้ามาในบ้านนี้หรอก? เพียงประโยคเดียวที่ทำให้ข้าพเจ้าถอดพระเครื่องออกจากคอได้ อย่างมั่นใจที่สุด
มีคนถามท่านว่าแขวนพระดีหรือไม่ ท่านตอบว่า ?ดี แต่มีสิ่งที่ดีกว่าแขวนพระ จะเอาไหม?
ในโอกาสหนึ่งมีคนถามเรื่องเครื่องรางของขลังของเขาว่า มีอานุภาพตามที่เล่าลือหรือไม่ ท่าน ถามว่า ?คนทำตายหรือยัง? เมื่อตอบว่าคนที่ทำได้ตายแล้ว เพราะเป็นของมรดกตกทอดกันมา ท่าน ตอบว่า?คนที่ทำยังตายเลย แล้วเราจะหวังสิ่งนี้ ช่วยไม่ให้เราตายได้อย่างไร ?
เรื่องของพระพุทธเจ้า
เคยมีการกล่าวถึงปัญหาพระบรมสารีริกธาตุว่าเป็น แก้ว ผลึก หรือ เป็นเพียงกระดูกที่ไฟเผา เมื่อได้ขอความเห็นท่านกลับตอบว่า ? เรื่องของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราไม่ใช่เรื่อง ของพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้จักเรื่องของเรา เมื่อรู้เรื่องตัวเองดีเแล้ว ถึงพระพุทธ เจ้าจะเสด็จมาหรือไม่ก็ไม่เป็นปัญหา ?
ปัญหาปลีกย่อย
หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า คนจำนวนไม่น้อยที่มาหาท่านแล้วถามแต่ปัญหาปลีกย่อย เช่นทำบุญ เช่นนี้ได้บุญแค่ไหน ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ …ฯลฯ มีน้อยครั้งที่จะมีคนถามว่า พุทธศาสนาสอนอย่างไร จะเอาไปใช้ได้อย่างไร หรือที่จะทำให้ทุกข์น้อยลงควรทำอย่างไร ครั้นจะให้หลวงพ่อถามเองตอบเอง ก็ดูกระไรอยู่
อดีต ปัจจุบัน อนาคต
ท่านกล่าวอยู่เสมอว่า อดีตผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้ อนาคตก็ยังมาไม่ถึง มีแต่ปัจจุบันนี้ที่เรายัง ทำอะไรได้ ถ้าทำดีวันนี้ วันนี้ก็จะเป็นอดีตที่ดีของวันพรุ่งนี้ และ วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นอนาคตที่ดีของวันนี้ ที่ทำดีแล้ว จะไปห่วงอะไรกับสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ และสิ่งที่ยังมาไม่ถึงที่แก้ทุกข์ในปัจจุบันนี้ไม่ได้
อริยบุคคล
หลวงพ่อกล่าวว่า ?ในทางร่างกาย อริยบุคคลกับคนธรรมดานั้นไม่ต่างกัน มีแต่เรื่องจิตใจเท่านั้น ที่อริยบุคคลดีกว่า เหนือกว่าบุคคลธรรมดา?
เรื่องของพระอานนท์
ข้าพเจ้ามีความสงสัยตลอดมาว่า ทำไมพระอานนท์ จึงไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ทั้งๆที่ได้ยินได้ฟัง รู้คำสอนของพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าใครๆ หลวงพ่อตอบว่า ?พระอานนท์รู้เรื่องพระพุทธเจ้ามากก็จริงแต่ยัง ไม่รู้จักตนเอง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ได้เรียนรู้ตนเอง จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์?
พระเวสสันดร
เคยเรียนถามว่าเรื่องพระเวสสันดร ซึ่งเป็นตัวอย่างทานบารมี แต่ดูคล้ายกับว่าเป็นคนไม่รับผิดชอบ ต่อบุตร ภรรยา การให้ทานเช่นนี้ทำให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าจริงหรือ ท่านตอบว่า ?เรื่องพระเวสสันดรเป็น เรื่องเล่าต่อกันมา ถ้าเราคิดว่าจริง เราควรบริจาคทานภรรยาและลูกของเราเอง ให้แก่กรรมกรหรือ ชาวนา ไปช่วยเขาทำงานแล้วเราก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าจะเปรียบเทียบใหม่ว่า สิ่งที่ติดตัวเรา ผูกพันเหมือนบุตร ภรรยา ก็คือ ความโลภ ความโกรธ และ ความหลง เราบริจาคหรือทานสิ่งนี้ไปเสีย จะพอเข้าใจได้ไหม?
การเชื่อ
หลวงพ่อได้กล่าวอยู่เสมอว่า เราไม่ควรด่วนเชื่อทันที และไม่ควรปฏิเสธทันทีเช่นกัน ควรพิจารณา ไตร่ตรองให้ดี หรือทดลองเสียก่อนจึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ในพุทธประวัติก็มีตัวอย่าง เช่น องคุลีมาล เป็นคนที่เชื่อง่าย อาจารย์สั่งให้ฆ่าคนตั้งมากมายก็ยังทำ หรือ เมื่อปริพาชกพบพระพุทธเจ้า ทั้งๆที่ พระองค์มีลักษณะน่าเลื่อมใส แต่ก็ไม่เชื่อว่า พระองค์ตรัสรู้ได้ด้วยตัวเอง จึงหลีกไป ไม่มีโอกาสได้ ศึกษาจากพระพุทธเจ้า
บุญ
เมื่อข้าพเจ้าถามท่านว่า ?ทำบุญได้บุญจริงหรือ? ท่านได้ถามว่า ?เข้าใจว่าบุญเป็นอย่างไร? เมื่อ เรียนให้ท่านทราบว่า บุญนั้นเข้าใจว่าเป็นผลดี ตอบแทนเมื่อเราตายไปแล้ว ท่านถามว่า ?เคยฟังพระ สวดอานิสงส์การทอดกฐินหรือไม่ ที่ว่าจะได้วิมาน และนางฟ้าเป็นบริวารห้าร้อยองค์ หรือพันองค์ จงคิดดูว่าวัดในเมืองไทยมีกี่วัด ถ้ามีการทอดกฐินทุกวัด ทุกปี จะไปหานางฟ้าที่ไหนมาให้ จึงจะพอ เราคิดว่าพระเป็นเสมือนพนักงานธนาคารที่คอยคิดดอกเบี้ยให้เวลาเราตายอย่างนั้นหรือ?
ข้าพเจ้าได้ถามท่านต่อว่า ถ้าเช่นนั้นการทำบุญด้วยวัตถุอย่างที่เป็นอยู่ทั่วไปนั้น ท่านเห็นเป็น อย่างไร ท่านตอบว่า ?การทำบุญด้วยวัตถุก็เป็นสิ่งที่ดี แต่เป็นเพียงข้าวเปลือก เอาไว้ทำพันธุ์ ถ้าเราจะ กินให้ได้ประโยชน์ ต้องกินข้าวหุงหรือข้าวนึ่งสุก ไม่ใช่ข้าวสาร หรือ ข้าวเปลือก การหลงติดอยู่กับการ ทำบุญด้วยวัตถุ อย่างงมงาย เป็นความหลงที่อยู่ในความมืดที่เป็นสีขาว??บุญเหนือบุญก็คือ การรู้จัก ตัวเองไม่มีทุกข์นี้แหละ?
ทำดี ทำชั่ว
เคยถามท่านว่า มีคนสงสัย ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วจริงหรือไม่ ท่านให้ความเห็นว่า ดี ชั่ว เป็นเรื่อง ของสังคมกำหนด ดี ในที่หนึ่ง อาจจะเป็น ชั่ว อีกที่หนึ่ง เราควรพูดให้เข้าใจใหม่ว่า ? ทำดีมันดี ทำชั่ว มันชั่ว ?
บังสุกุล
เคยถามท่านว่า ?เวลาเราบังสุกุลให้ผู้ตาย เขาได้หรือไม่? ท่านตอบว่า ?การบังสุกุลเป็นเพียง ประเพณีที่คนอยู่ทำขึ้น เนื่องจากยังห่วงใยในคนที่ตายไปแล้ว ที่ว่าคนตายจะได้หรือไม่ยังสงสัย แต่ผู้ที่ ได้แน่ๆ คือ พระ เราคิดว่าพระทำหน้าที่แทนบุรุษไปรณีย์ได้หรือ ??
พระกราบโยม
ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านไปประเทศลาวได้รับนิมนต์สวดต่ออายุให้แม่ของชาวบ้าน หลวงพ่อ ไม่สวด เจ้าภาพเขาจึงไม่ถวายจตุปัจจัย หลวงพ่อได้ชี้แจงเรื่องการต่ออายุพ่อแม่ว่า ต้องกระทำดีต่อ พ่อแม่ ไม่ใช่เพียงแต่มีการสวดมนต์แล้วหวังจะให้พ่อแม่มีอายุยืนและได้พาลูกๆ กราบพ่อแม่เป็นครั้ง แรกตามท่าน ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ฮือฮากันว่าผิดประเพณี ไม่เคยเห็นพระกราบโยมซึ่งหลวงพ่อ กล่าวว่า ?ที่อาตมาพาลูกกราบแม่ตามอาตมานั้น อาตมาไม่ได้กราบโยม แต่อาตมากราบตัวเอง ที่ สามารถสั่งสอนคนให้เข้าใจได้ว่า การต่ออายุที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร?
กราบผ้าเหลือง
ข้าพเจ้าเคยกล่าวกับท่านว่า เราเองไม่ทราบว่าพระองค์ไหนจะเป็นพระแท้ หรือเป็นเพียงกาฝากของ ศาสนา เพียงเห็นผู้ที่โกนศีรษะห่มผ้าเหลืองก็กราบแล้วท่านให้ความเห็นว่า ?ถ้าหากจะกราบเพียงผ้า เหลือง เวลาผ่านไปแถวเสาชิงช้า มิต้องกราบตามร้านที่ขายเครื่องพระ ตั้งแต่หัวถนนจดท้ายถนนหรือ?
การไม่กินเนื้อสัตว์
เคยเรียนถามท่านว่า การไม่กินเนื้อสัตว์ทำให้การปฏิบัติธรรมะดีขึ้นหรือไม่ ท่านตอบว่า ? การที่ จะรู้หรือปฏิบัติธรรมะ ไม่ได้ขึ้นกับการกินอะไรหรือไม่กินอะไร ดูอย่างเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งอย่าว่าแค่ เนื้อเลย แม้กระทั่งอดข้าวอดน้ำจนเกือบตายก็ยังไม่รู้ธรรมะ เรื่องนี้เป็นเรื่องของปัญญา ?
หลงในความคิด
หลวงพ่อเคยกล่าวว่า คนเรานั้น คิดอยู่เสมอเหมือนกระแสน้ำ การหลงติดกับความคิดก็เหมือน การตักน้ำมาเก็บไว้ แต่ถ้ามีสติรู้เท่าทันความคิดนั้นๆ ก็เหมือนกับน้ำที่ไหลมาแล้วก็ผ่านไป การหลงติด ในความคิด ทำให้เกิดทุกข์
ทำงานอย่างมีสต
หลวงพ่อกล่าวอยู่เสมอว่า ? คนเรามีหน้าที่ ที่จะต้องทำในสังคมที่ตนอยู่ เป็นธรรมดา การปฏิบัติ หน้าที่โดยมีสติจะได้ผลงานที่สมบูรณ์ ?
หินทับหญ้า
ข้าพเจ้าเคยถามเรื่องการนั่งสมาธิหรือกรรมฐานว่าเป็นอย่างไร ท่านตอบว่า?การนั่งสมาธิมีมา ก่อนสมัยพุทธกาล ทำให้เกิดความสงบชั่วคราว เมื่อออกมาจากสมาธิก็ยังมีความโลภ โกรธ หลงอยู่ จิตใจไม่เปลี่ยน เปรียบเหมือนกับหินทับหญ้า แม้หญ้าจะฝ่อลง เมื่อหญ้าต้องแสงอาทิตย์หญ้าก็งอกขึ้น มาอีก ต่างกับวิปัสสนาที่ทำให้เกิดปัญญา จิตใจเปลี่ยนแปลงดีขึ้น?
ติดสมาธิ
ท่านเคยกล่าวเตือนว่า ? การที่ติดอยู่กับรูปแบบของสมาธิ จะเป็นวิธีใดก็ตาม เหมือนกับการนั่ง เรือข้ามฟาก แล้วไม่ยอมขึ้นจากเรือ ทั้งๆที่เรือถึงฝั่งตรงกันข้ามแล้ว เพราะยังหลงสนใจในตัวเรือ เครื่องเรืออยู่ ?
วิปัสสนาแล้วเป็นบ้า
ได้เรียนถามท่านว่า การนั่งวิปัสสนาทำให้คนเป็นบ้า ตามที่มีจิตแพทย์บางคนกล่าวจริงหรือ ท่านตอบว่า ?คนที่ไม่รู้จักจิตใจตัวเองนั้นแหละคือคนบ้า การนั่งวิปัสสนาเป็นการศึกษาให้รู้จักจิตใจ ตัวเอง ถ้านั่งแล้วเป็นบ้าไม่ใช่วิปัสสนา?
ทุกข์
เคยมีคนถามท่านว่า ทุกข์คืออะไร ท่านได้เอาของใส่มือให้กำไว้แล้วคว่ำมือและแบมือ ท่านได้ ชี้ไปที่ของซึ่งหล่นจากมือไปสู่พื้นว่า ? นี่คือ ทุกข์ ? ผู้ถามก็เข้าใจทันทีว่า ทุกข์เป็นสิ่งสมมติที่เราสร้าง ขึ้นและยึดถือไว้ปล่อยวางได้ ท่านได้กล่าวถึงผู้ที่เข้าใจโดยเร็วนี้ว่า ? เป็นผู้มีปัญญา ?
นักศึกษา
หลวงพ่อเคยเปรียบเทียบว่า คนที่ได้รับการศึกษานั้นมี 2 จำพวก พวกแรกเป็นผู้ที่รู้แจ้งหรือรู้จริง เป็นบัณฑิต พูดแล้ว เข้าใจได้เลย อีกพวกหนึ่งเป็นเพียงผู้รู้จักและรู้จำ ซึ่งเวลาพูดจะพูดมาก คำพูด อ้อมค้อม ฟุ่มเฟือยหรือไม่ก็อ้างตำรามากมาย เพื่อชักจูงให้คนเชื่อ ทั้งนี้ เพราะตัวเองไม่รู้จริง
แสงตะเกียง
ในระยะหลังๆ ที่หลวงพ่อสุขภาพไม่ค่อยดี ภรรยาของข้าพเจ้าได้ปรารภกับท่าน ด้วยความเป็น ห่วงเรื่องการสอนธรรมะ หลังจากที่ท่านจากไปแล้วว่าจะเป็นอย่างไร ท่านตอบว่า ? เรื่องนี้อย่าเป็นห่วง เลย ตราบใดที่ยังมีคนอยู่ก็จะมีคนรู้ธรรมะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว เพราะธรรมะไม่ใช่เรื่องผูกขาดเป็นของ ส่วนตัว ธรรมะมีมาก่อนสมัยพุทธกาล แต่พระพุทธเจ้าเป็นคนแรก ที่ทรงนำมาสอน และเผยแพร่ คนที่รู้ ธรรมะนั้น เปรียบได้เหมือนกับตะเกียงที่จุดสว่างขึ้นในความมืด คนที่อยู่ใกล้จะเห็นชัด คนที่อยู่ไกลก็ เห็นชัดน้อยลง สักพักหนึ่งตะเกียงจะดับไปและจะมีการจุดตะเกียงให้สว่างขึ้นอีกเป็นครั้ง คราว ?
เรียนกับใคร
ในการเข้ารักษาตัวครั้งสุดท้ายที่โรงพยาบาลสมิติเวช ท่านปรารภว่าการเจ็บป่วยคราวนี้เป็นเรื่อง ที่หนัก ท่านเองก็ได้แต่เฝ้าดูลมหายใจของตนเองว่าจะหยุดเมื่อใด ข้าพเจ้าจึงได้ถามตรงๆว่า เมื่อสิ้น หลวงพ่อแล้วจะแนะนำให้ศึกษาธรรมะกับใคร จึงจะได้ผลดีที่สุด ท่านตอบว่า ? จงศึกษาธรรมะจาก ตัวเอง ดูจิตใจตัวเองดีที่สุด ?
ผู้ที่เข้าใจท่านพูด
เคยถามท่านถึงจำนวนผู้ที่เข้าใจหลังจากที่ได้แสดงธรรมะหรืออบรมว่ามีสักเท่าใด ท่านตอบว่า
?คงจะได้สัก 10-15% เรื่องนี้เป็นธรรมดา คนที่พร้อมจึงจะเข้าใจได้ คนส่วนใหญ่ติดการทำบุญ?
เชือกขาดเป็นอย่างไร
เมื่อได้อ่านประสบการณ์ของท่านที่กล่าวว่า ในช่วงสุดท้ายมีความรู้สึกเหมือนเชือกขาดจากกันนั้น เข้าใจได้ยาก ท่านได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ?คำพูดเป็นเพียงการสมมติ ว่าเสียงนั้นๆหมายถึงอะไร มันไม่มี คำพูดที่จะอธิบายภาวะดังกล่าว ถ้าเราเอาสีขาวกับสีดำซึ่งห่างกันเพียง 1 เซนติเมตรค่อยๆผสมให้กลืน กัน ตรงกลางเราเรียกว่าสีเทาใช่ไหม แต่ถ้าหากสองสีนี้ห่างกัน 10 เมตร แล้วให้สีทั้งสองค่อยๆ กลืน กัน จะให้อธิบายว่าจุดๆหนึ่งระหว่างนั้นเรียกว่าสีอะไร มันไม่มีคำพูดจะกล่าวให้เข้าใจ ต้องรู้เห็นเอง?
?เคยเห็นเมฆหน้าฝนไหม มองดูคล้ายเป็นรูปเงาต่างๆ แต่ถ้าเรานั่งเครื่องบินเข้าไปอยู่ในก้อนเมฆ นั้นๆ เราไม่เห็นอย่างที่เห็นก่อนเข้ามาดอก ภาวะดังกล่าวไม่มีคำพูดที่จะอธิบาย มันอยู่เหนือตัวหนังสือ การประมาณคาดคะเนหรือความเข้าใจไปเองว่าจะเป็นอย่างนี้ ต้องรู้เองเห็นเอง?
นิพพาน
ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า เคยถามโยมผู้ที่เคยอธิษฐานหลังการทำบุญว่า ขอให้อานิสงส์การทำบุญ ทำให้เขาเข้านิพพานในอนาคตกาลด้วยนั้น ท่านถามว่า ?โยมเข้าใจว่าจะไปถึงนิพพานเมื่อใด?ชาวบ้าน ตอบว่า ?เมื่อตายไปแล้ว?ท่านถามต่อว่า ?อยากไปถึงนิพพานจริงๆหรือ?ชาวบ้านตอบว่า ?อยากไปถึง จริงๆ? ท่านจึงพูดว่า ?ถ้าเช่นนั้นโยมควรตายเร็วๆ จะได้ถึงนิพพานไวๆ? ชาวบ้านตอบด้วยความงงว่า ?ยังไม่อยากตาย? ท่านจึงชี้แจงให้ฟังว่า ?นิพพานก็อยากไป แต่ทำไมไม่อยากตายเร็ว นี่โยมเข้าใจผิด แล้ว พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้คนไปนิพพานเมื่อตายแล้ว แต่สอนคนเป็นๆ ให้ไปถึงนิพพานขณะที่ มีชีวิตอยู่?
จริง สมมติ
ท่านกล่าวว่า คนมีอายุยืนมีความจำและความคิดมากกว่าสัตว์ ครั้นอยู่กันเป็นหมู่มาก จำเป็นต้อง ตั้งหรือสมมติกฎเกณฑ์ขึ้นมา เพื่อให้มีความสงบสุขในสังคม เมื่อเวลาผ่านไปคนรุ่นหลังย่อมหลงยึดว่า สิ่งสมมตินั้นเป็นความจริง เมื่อมีคนบอกว่าสิ่งที่เขาว่าจริงนั้น แท้จริงแล้วมันเป็นสิ่งสมมติ คนส่วนใหญ่ จะไม่ยอมเชื่อ ซึ่งก็เป็นธรรมดา
?ที่เรียกว่าเงินนั้นที่จริงแล้วเป็นกระดาษ เมื่อใช้แล้วมีคนยอมรับจึงมีค่า ถ้าไม่ยอมรับก็เป็นกระดาษ ในสังคมปัจจุบันเราใช้เงินเป็นตัวกลางเพื่อแลกเปลี่ยน ชีวิตใดครอบครัวใดไม่มีเงิน จะอยู่ได้ด้วยความ เดือดร้อน เงินซื้อความสะดวกและความพอใจได้ แต่ซื้อความหมดทุกข์ไม่ได้?
คนรักษาศีล หรือ ศีลรักษาคน
ทำไมจึงต้องคอยรักษาศีล เหมือนรักษาแก้วไม่ให้มันแตก ทำไมเราจึงไม่ประพฤติปฏิบัติตัวให้มี ศีลเล่า ศีลจะได้รักษาเราแล้วจะได้ไม่ห่วงคอยรักษาศีล
หนา
ข้าพเจ้าเคยนิมนต์ท่านให้ไปสอนผู้ที่เคารพนับถือท่านหนึ่ง ที่คิดและเลื่อมใสในการทำบุญตาม ประเพณีมาก เมื่อได้ถามท่านหลังจากที่ท่านกลับมาแล้ว ท่านตอบว่า ?โยมคนนี้เป็นคนหนา เราเคย อ่านพุทธประวัติหรือไม่ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ก่อนที่จะไปโปรดปัญจวัคคีย์ พระองค์ได้ระลึกถึง อุทกดาบส และอาฬารดาบส แต่แล้วก็ทราบว่าท่านทั้งสองได้ตายเสียแล้ว หลวงพ่อสงสัยว่าพึ่งจาก กันไม่นาน จะตายทางร่างกายหรือไม่นั้น ยังสงสัย แต่ที่ตายแน่ๆ คือ ความคิด?
สมณศักดิ์
เคยถามท่านว่าสมัยพระพุทธเจ้าไม่มีสมณศักดิ์ แต่ทำไมปัจจุบันในเมืองไทยจึงมีมากนัก ดีหรือไม่ ท่านตอบว่า?สมณศักดิ์เป็นเรื่องของสังคม จะเรียกว่าดีก็ได้ หรือไม่ดีก็ได้ แต่เราอยู่ในสังคมของเขา?
มงคล
ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยถูกนิมนต์ไปเพื่อสวดมงคลในบ้านหลังหนึ่ง ท่านขอร้องให้เอา กะละมังขนาดใหญ่ใส่น้ำ เพื่อจะทำน้ำมนต์แทนบาตร หลังจากท่านได้ทำให้แล้ว ท่านกลับเอาน้ำมนต์ ในกะละมังสาดไปทั่วบ้านแล้วบอกว่า?ช่วยกันเก็บช่วยกันถู อันนี้แหละเป็นมงคล การที่เราใช้น้ำมนต์ ประพรมตัวเราอาจจะแพ้ลูกไม้ใบหญ้าที่ใส่ไว้ในน้ำมนต์ มีอาการผื่นคันขึ้นมาต้องเปลืองเงินทอง ซื้อ หยูกยารักษาอีก แล้วมันจะเป็นมงคลได้อย่างไร?
ศาลพระภูม
เมื่อข้าพเจ้าได้ถามถึงเรื่อง เจ้าที่ ศาลพระภูมิ ว่ามีอิทธิฤทธิ์ให้คุณให้โทษแก่เจ้าของบ้าน จริง หรือไม่ ท่านตอบว่า ?จงคิดดู ถ้าเจ้าที่นั้น มีอิทธิฤทธิ์จริงแล้ว ทำไมจึงไม่เนรมิตรบ้านอยู่เอง เนรมิตร อาหารกินเอง ทำไมจึงต้องคอยให้คนสร้างให้ หรือคอยอาหารเซ่นไหว้ ซึ่งน้อยนิดเดียว จะกินอิ่มหรือ?
บวช – สึก
เมื่อข้าพเจ้าได้ผ่าตัดกระเพาะอาหารท่านออกเกือบหมด และได้แนะนำให้ท่านฉันอาหารจำนวน น้อยแต่บ่อยๆ ท่านเคยปรารภว่า?ท่านปฏิบัติเช่นนี้ วินัยหย่อน จะมีคำครหาได้ อยากไปขอสึก เพราะ ท่านจะเป็นพระหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน จิตใจของท่านไม่เปลี่ยนเปลงแล้ว?
ตามใจคนอื่น
เคยถามหลวงพ่อว่า ?คนเดี๋ยวนี้มีการศึกษาก็มาก ?แต่ทำไมจึงยังแก้ทุกข์ไม่ได้ ??ท่านตอบว่า
? คนส่วนใหญ่ทำตามใจคนอื่น ไม่ทำตามใจตัวเองจึงเป็นเช่นนี้ ?
อธิษฐาน
ข้าพเจ้าเคยถามท่านว่า ตอนก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ หลังจากได้ฉันอาหารของนางสุชาดา แล้วได้ลอยถาด ปรากฏว่าลอยทวนกระแสน้ำ ซึ่งดูผิดธรรมชาติ ท่านมีความเห็นอย่างไร ท่านชี้แจงว่า ? ของทุกอย่างย่อมลอยตามกระแสน้ำ เรื่องนี้เป็นการทวนกระแสความคิดที่มีอยู่และเป็นอยู่ ถ้าเราคิด ย้อนกลับขึ้นไปบ้าง ก็จะรู้ความจริงว่าเป็นอย่างไร ?