แดนนิพพานอยู่ไหน?

นิพพานคือปัจจุบันจิต

เรื่องนี้จะยากขนาดไหน
เราก็ต้องพยายาม
เพราะอุดมการณ์ของพุทธศาสนิกชน
ที่เราเคยตั้งไว้ว่า
“ต้องไปให้ถึงพระนิพพาน”
 
เช่นเมื่อเราทำบุญทุกครั้ง
เราสละสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่าง
ให้เป็นทาน
เรามักปรารถนาให้ถึง
มรรค ผล นิพพานในอนาคตกาล
 
แต่จริงๆ แล้วในขณะที่ปฏิบัติ
เราสามารถปรารถนา
ถึงนิพพานได้ในปัจจุบันกาล
เบื้องหน้านี้ได้เลย
 
เพราะนิพพานเป็นปัจจุบันธรรม
ถ้าเป็นอดีต อนาคตก็ไม่ใช่นิพพาน
 
เราจะปรารถนานิพพาน
ในอนาคตนั้นไม่ได้ ไปไม่ถึง
แต่ต้องปรารถนาในปัจจุบันนี้
เพราะนิพพาน คือจิตที่อยู่กับปัจจุบัน

นิพพานไม่มีอดีตและอนาคต

วิธีการของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ
ใช้การเคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มกำลังให้สติ
ที่เกิดจากการตามรู้การเคลื่อนไหวของกาย
แล้วสติจะดึงจิตกลับมาอยู่กับกายได้
ทำให้เกิดอาการรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมาเอง
ดังนั้น การมีสติสัมปชัญญะ
จึงเป็นการชักนำจิตเข้าถึงนิพพาน
ได้ทุกๆ ขณะอยู่แล้ว
เราจะรู้ปริยัติหรือไม่รู้ก็ตาม
จิตสามารถเข้าถึงนิพพานไปทีละก้าวๆ
ตลอดเวลาอย่างไม่ขาดช่วงขาดสาย
จนวันหนึ่ง จิตของเราก็เติมเต็มด้วยปัญญา
จิตของเราก็ไปถึงภาวะที่หยุดเย็น
แล้วเราก็จะรู้เองว่าจิตถึงนิพพาน
มันเป็นอย่างไร?

ถึงนิพพานได้เพราะใจหยุดไคว่คว้า

จิตหยุดแสวงหาหยุดดิ้นรนแส่สาย
ไปในอารมณ์อดีต ในอนาคต
เราสมมติเรียกจิตนั้นว่า “ถึงนิพพานแล้ว”
 
แต่เมื่อใดจิตของเรายังดิ้นรนแสวงหาอดีต อนาคตอยู่
ก็ถือว่าจิตยังไม่ถึงนิพพาน
 
ดังนั้น ชีวิตประจำวันไม่ว่าเรามีอาชีพ ทำการทำงานอะไรก็ตาม
 
ถ้าเป็นชาวพุทธที่แท้แม้ชีวิตจะมีครอบครัว
และการงานยุ่งยากเพียงใดก็ไม่เป็นอุปสรรค
 
เราควรมีหน้าที่สร้างนิพพานจิตไปด้วย
ทุกๆ ขณะที่มีการเคลื่อนไหว
 
เพียงมีใจร่วมรู้ต่อการกระทำเท่านั้น
จึงทำให้การทำงานเป็นการสร้างบารมีธรรม
ไปในเวลาเดียวกัน
 
วันหนึ่งเมื่อจิตมันเต็มด้วยความรู้สึกตัวแล้ว
เรียกว่า บารมีมันเต็ม
 
จิตที่เต็มแล้ว มันก็ไม่คิดไม่ปรุงแต่งไปไหนแล้ว
จิตก็จะอยู่กับปัจจุบัน
 
ไม่ไปเวียนว่ายตายเกิด
ไม่ต้องสุข ไม่ต้องทุกข์
ไม่ต้องไปสังสารวัฏ
เรียกว่า “จิตไปถึงนิพพานนั้นเอง”

วิธีทำพระนิพพานให้แจ้ง

“นิพพานไม่ใช่เรื่องลึกลับ
แต่นิพพานเป็นเรื่องลึกซึ้ง”

ในพระบาลีท่านกล่าวไว้ว่า
“นิพพานัสสะ สัจฉิกะระณัตถายะ”

เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง
คือทำจิตให้ตื่นรู้และเบิกบาน
หรือสร้างความรู้เนื้อรู้ตัว
ให้ปรากฎชัดอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจุบัน

ด้วยความรู้สึกที่เยือกเย็น และผ่อนคลาย
เรียกว่าทำพระนิพพานให้แจ้ง ให้ปรากฏ

แต่ถ้าเป็นความรู้สึกตัว ที่ไม่เยือกเย็น ไม่ผ่อนคลาย
แม้จะรู้สึกตัวทั้งวันทั้งคืน ก็ยังไม่ใช่อารมณ์นิพพาน
แต่อาจเป็น “อารมณ์อุปาทาน”

ตรงนี้ต้องฝึกสังเกตแยกแยะให้ดี
มิฉะนั้น อาจจะหลงทางได้เช่นกัน

เราทำกับสิ่งที่มีอยู่ มิใช่หาสิ่งไม่มี

เราทำกับสิ่งที่เรามีอยู่จริง สัมผัสได้
ไม่ใช่ทำกับสิ่งที่ดนเดานึกคิด ล่องลอย ลึกลับ
อย่างที่เราเคยทำกันมา
 
คนส่วนใหญ่ปรารถนาสวรรค์ นิพพาน
ที่อยู่นอกเหนือไปจากชีวิตจิตใจของตนเอง
เขาจึงไม่พบ เพราะไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน
สัมผัสไม่ได้
 
แต่พอมาศึกษา ณ วันนี้ปรากฏว่า
“นิพพานอยู่ใกล้ตัวมากที่สุด
เราสัมผัสได้ตลอดเวลา
เพียงแต่ดึงใจมาอยู่กับกายให้ชัดๆ
 
ดึงใจมาอยู่กับปัจจุบันอย่างรู้เนื้อรู้ตัว
เมื่อนั้นก็เป็นนิพพานทุกครั้งไป”
 
ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
อยู่ในบ่อน ในบาร์ อยู่ในวัดในวา ในโบสถ์
ในวิหารศาลาการเปรียญ
 
อยู่ในตลาด ที่ออฟฟิศ ที่ทำงาน
ก็สามารถทำนิพพานได้หมด
 
เพียงเรามีความตื่นรู้ และเบิกบาน
อยู่ในใจได้ทุกสถานการณ์
 
เพียงแต่เรามีวิธีการ
รู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจนึกคิด
ตามหลักของหลวงพ่อเทียน
ก็จะได้พบพระนิพพาน

ถ้าปฏิบัติถูกต้อง นิพพานจะปรากฏเอง

การทำพระนิพพานให้แจ้ง
ไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนสูงสุด
จนเราเข้าถึงไม่ได้ เข้าใจไม่ได้
เมื่อไม่รู้ก็ยังไม่เห็น
นึกว่านิพพานอยู่ไกลข้างหน้า
บุญวาสนาเราคงเข้าไม่ถึงประการสำคัญอยู่ที่ว่า
เราได้ทำหลักทั้ง ๕ ประการ
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาถูกต้องหรือยัง
ย้อนไปดูที่ตรงนั้นจิตของเราหมดจด
จากการปรุงแต่งหรือเปล่าความไม่สบายกายไม่สบายใจ
ถูกจัดการได้อย่างถูกต้องหรือไม่การปรุงแต่งภายในที่เรียกว่า
ความโศกเศร้าพิไรรำพันทุกระดับ
เราได้ทำให้มันลดลงหรือเปล่าธรรมที่เราควรจะรู้ตามลำดับ
ตามขั้นตอนของแต่ละสูตร แต่ละหลักการ
เราได้เห็นชัดแจ้งเข้าใจตามลำดับ
และใช้ถูกหรือเปล่าเราย้อนไปดู หากถูกต้อง
นิพพานจะปรากฎเอง
หากไม่ถูกต้อง ยังสับสน
การทำนิพพานก็ยังไม่แจ้ง
มันก็ยังเป็นปริศนาอยู่นั่นเอง

นิพพานคือเห็นแจ้งในอารมณ์ปัจจุบัน

“…มีปัญหาข้อหนึ่งที่มักถามกัน
“ทำไมคนเราจึงไม่ชอบอยู่กับปัจจุบันขณะ”

เพราะจิตของเรายังไม่ยอมรับความจริง ที่กำลังเกิดขึ้น แต่เรามักสนใจเรื่องอื่นที่นอกตัวเอง

การสนใจความจริงนอกตัว จนลืมรู้จักตัวเอง แบบนี้ก็ไม่ใช่คำสอนของพุทธศาสนา เพราะยังไม่รู้ตัวเองอย่างชัดแจ้ง

ดังนั้น เราจะต้องอยู่กับปัจจุบันให้ชัดเจน แล้วเราจะเข้าใจตัวเอง และจะไม่เกิดความสงสัยใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ท่านผู้รู้จึงกล่าวไว้ว่า การเห็นนิพพาน ก็คือการรู้แจ้งเห็นจริงในอารมณ์ปัจจุบันนั้นเอง…”

วิปัสสนาพามือเคลื่อนไหว/พระพุทธยานันทภิกขุ(น.๑๗๔)
Cr: วัฒนา พิมพ์บึง

เจริญรอยตามตถาคต

“…พวกเราเคยได้ฟังเทปหรือชีดีของหลวงพ่อเทียน มาบ้างแล้ว เรามักจะได้ฟังคำพูดที่ท่านยกมาจากพระพุทธพจน์เสมอๆว่า

“เราตถาคตไปถึงแล้วแห่งนั้น เธอทั้งหลาย ต้องทำอย่างตถาตคนี่เเล้วจะรู้ จะเห็น จะมี อย่าเราตถาคตนี้”
ไปถึงแล้วนั้นคือ ไปถึงตัวสติ ตัวสมาธิ ตัวปัญญา ที่มีอยู่ในตัวคนทุกคน

เเล้วนำตัวสติสมาธิปัญญานั้น มาฝึกฝนให้มันเกิดมีขึ้นในใจของเรา เเล้วนำมาบอกต่อๆกันไป

เมื่อเรารู้ทางออกจากความคิดทั้งดีทั้งชั่วทั้งถูกทั้งผิดได้แล้ว จิตของเราก็จะหลุดออกจากมายาของการเกิดดับ เพราะความไม่รู้ด้วยอำนาจของอวิชชาได้…”

นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว/ พระพุทธยานันทภิกขุ(น.๑๐๑)
Cr: วัฒนา พิมพ์บึง

นิพพานคืออะไร…

ว่าโดยย่อ นิพพาน หมายถึงความพยศหมดไป… หรือ ความมีมานะ ทิฎฐิ หมดไป หรือ ความมี โทสะ โมหะ โลภะ หมดไป หรือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน หมดไป มีแต่ความ “ปกติ” หรือว่า “ว่าง” นี่แหละ…นิพพาน… พระนิพพานอยู่ที่ใจ… พระนิพานมีอยู่ในคนทุกๆคนไม่ยกเว้น เพียงแต่ว่า คนๆนั้นจะทำให้ มรรค ผล นิพพาน ปรากฎ เกิดขึ้น หรือไม่ ….เท่านั้นเอง…
….หลวงพ่อเทียน….
Cr: Trader Hunter พบธรรม

มัคคุเทศก์นำทางนิพพาน

การปฏิบัติวิปัสสนาแบบเคลื่อนไหว
ต้องอาศัยความเข้าใจที่ชัดเจนแจ่มแจ้งเสมอ
เสมือนการเดินทาง
ถ้าเราลังเลไม่แน่ใจในเส้นทางเดินเพียงนิดเดียว
เราจะเดินไม่สนุกและท้อถอย

แต่ถ้ามีผู้ชำนาญเส้นทาง มานำทางเรา
พร้อมกับการอธิบายให้รายละเอียดต่างๆระหว่างทาง
เรายิ่งสบายได้ความรู้เพิ่มขึ้น
เสมือนเป็นมัคคุเทศก์ ทำหน้าที่นำทางไปในตัว

ดังนั้น การเจริญสติวิปัสสนาแบบนี้
อยากให้สมาชิกทุกท่านรู้สึกว่า
เรากำลังอยู่ในสถานการณ์แห่งการเดินทางไกล
ทุรกันดาร มีอุปสรรคเยอะ
แต่ถ้าเราได้มัคคุเทศก์นำทางเรา
ก็คงรู้สึกสบายใจและปลอดภัยไปมากทีเดียว

แล้วสักวันหนึ่งเราจะถึงปลายทาง
ส่วนใครจะถึงปลายทางบ้าง
ก็คอยมาติดตามกันต่อไป
รับรองว่า ไม่นำพาให้หลงทางก็แล้วกัน
ถ้าไม่หยุดเดินหรือแวะข้างทางกันบ่อยเกินไป

แต่ถ้าคนไหนชอบเดินช้ากว่าเพื่อน
อาจจะถูกดุและลงโทษกันบ้าง คงไม่ว่ากัน
เพราะถ้าเดินช้า จะมืดเสียก่อน
เดินทางต่อก็ลำบาก ขอให้โชคดีทุกท่าน

สตินำทางสู่นิพพาน

“หลวงพ่อเทียนรู้นิดเดียว ปฏิบัติมาก จับความรู้สึกตัวนิดเดียว แต่นำไปสู่เรื่องใหญ่ นำไปสู่ สิ่งที่เราคาดคิดไม่ถึง ส่วนใหญ่เรามักจะใช้ความคิดคาดเดา เสียเวลาเปล่า หลวงพ่อเทียนบอกผมเสมอ ให้รู้ตัว พอถามรายละเอียดท่านก็บอกว่า เท่านี้ ให้แกว่งมือ แล้วรู้สึกตัวว่ากำลังแกว่งมืออยู่ เท่านี้ สติจะเกิดขึ้น ”

สติ นำไปสู่มรรคผลนิพพานอย่างไร เป็นเรื่องปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน จากจุดนี้ที่จะนำเราไปสู่ความพ้นทุกข์ทางใจอย่างสิ้นเชิงหรือไม่ก็อยู่ที่ว่าเราเริ่ม “รู้สึกตัว” หรือยัง และเมื่อฝึกความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง เราจะเห็นเองว่า ทุกอย่างเป็นเพียงกระแสธรรมตามธรรมชาติเท่านั้น หามีเรา มีเขาไม่

เขมานันทะ

จงวิดน้ำออกจากเรือ

พุทธพจน์บทหนึ่งได้กล่าวว่า
เธอจงวิดน้ำออกจากเรือนี้
เรืออันเธอวิดน้ำออกแล้วจักเบา
 
หมายความว่าถ้าตัดราคะและโทสะ
เรือนั้นจักวิ่งสู่พระนิพพาน
แล้วโมหะหายไปไหน
 
นั่นแสดงว่า ถ้ากำหนดรู้
ตัดราคะและโทสะชัดๆ แล้ว
ตัวโมหะก็ไม่เกิด
 
เราจึงมากำหนดรู้
ที่ตัวอทุกขมสุขเวทนาตัวนี้
ที่ไม่รู้ชัดว่าเป็นทุกข์ หรือสุข
เป็นอวิชชา เป็นมิจฉาทิฏฐิ
 
เมื่อใดที่เรารู้ชัดในสุข ในทุกข์
เป็นวิชชา เป็นสัมมาทิฏฐิ
 
การที่เราเห็นไม่ชัด เป็นมิจฉาทิฏฐิ
นำมาพูดผิด เห็นผิด ดำริผิด
ใช้ผิด พยายามผิด ตั้งสติผิด สมาธิผิด
 
อาสวะตกตะกอนนอนเนื่อง
อาสวะเป็นกิเลสละเอียด
แม้แต่พระอานาคามียังข้ามไม่พ้น
 
มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
รวมเรียกว่า อวิชชาสวะ
 
Direk Saksith
www.buddhayanando.com
f: พระพุทธยานันทภิกขุ, พลิกใจให้ตื่นรู้,
หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท, เซนสยาม,
Dynamic Meditation (นวัตกรรมแห่งสติ)
……………………….
https://www.buddhayanando.com/?p=14514

นิพพานคือดับ สังสารวัฏคือเกิด

ในสิ่งที่ดีก็มีสิ่งที่ไม่ดีตามมาด้วย
เป็นธรรมดาของโลกที่เรามีชีวิตอยู่
เพราะมันเป็นคู่ของการเกิดและการดับ

การเกิดการดับ เป็นตัวหมุนอยู่ข้างใน
ตั้งแต่เรายังไม่เกิด มันมีอยู่แล้วในจักรวาล
เป็นพลังงาน แยกออกมาเรื่อย
เป็นการเกิดการดับ

ต่อมาเป็นคู่ของการหายใจเข้า หายใจออก
หายใจเข้าเป็นเกิด หายใจออกเป็นดับ
ลักษณะที่เกิด มันจะมีพลังหนักหน่วง
ทุกข์ เจ็บ ปวด ในส่วนที่เป็นเกิด
ในส่วนที่เป็นดับ มีลักษณะที่เบา สบาย สงบ เย็น

นิพพานแปลว่าดับ
สังสารวัฏ แปลว่าเกิด
ขยายตัวไปเรื่อยๆ จากวงที่เล็กที่สุด
ขยายตัวออกมาเป็นเกิดเป็นดับ

รู้สึกสบาย เป็นดับ ไม่สบายเป็นเกิด
ร่างกายของเรามันเป็นคู่ๆ อยู่
มีหลับตา มีลืมตา มีหายใจเข้า มีหายใจออก
เหลียวซ้าย แลขวา มีหยุด มีเคลื่อน

คู่ของการเกิดดับ ขยายจากหน่วยเล็กที่สุด
มาเป็นหน่วยใหญ่ที่สุด คือชีวิตของเรา
จนกระทั่งเป็นหญิง เป็นชาย
เป็นดีเป็นชั่ว เป็นบุญ เป็นบาป
เป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นนรก เป็นสวรรค์

ต้นกำเนิดมาจากการเกิดดับทั้งนั้น
เรียกว่าเป็นปรมัตถ์
จากเกิดดับ กลายมาเป็นรูปเป็นนาม
เป็นกายเป็นใจ

Direk Saksith
www.buddhayanando.com
f: พระพุทธยานันทภิกขุ, พลิกใจให้ตื่นรู้,
หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท, เซนสยาม,
Dynamic Meditation (นวัตกรรมแห่งสติ)
…………………………………………………………………
#ธรรมะรับอรุณ ณ ยุวพุทธิกสมาคมฯ
https://www.buddhayanando.com/?p=19796

นิพพานค่อยเป็นค่อยไป

“…ทุกวันนี้คนปฎิบัติธรรมเเสวงหาความสุขสบาย แต่ไม่ได้ลดต้นตอของปัญหา

เราอยากมีสุขภาพดี แต่เราไม่ลดอาหารที่ทำลายสุขภาพ
เราไม่อยากมีโรคภัยไข้เจ็บ
แต่เราไม่ลดความเอร็ดอร่อยลง

เรากินอาหารที่ดี ก็ไม่ใช่ว่าจะกินทุกวัน เจออาหารที่ไม่ดี ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากเข้าใกล้ ก็ลองชิมดู
ถ้าอร่อยมากๆก็ลองไม่กิน หรือกินน้อยๆ

วิปัสสนาไม่ได้ทำให้เราร่ำรวย หรือขึ้นสวรรค์ แต่วิปัสสนาเป็นการสร้างต้นเหตุของความร่ำรวย

สร้างต้นเหตุของสวรรค์ นิพพาน
อาจจะไม่ปุ๊บปั๊บเหมือนที่เราต้องการ
แต่จะค่อยเป็นค่อยไป…”

วิปัสสนาพามือเคลื่อนไหว / พระพุทธยานันทภิกขุ

นิพพานคือดับไฟให้เย็นลง

ปุจฉา: กราบนมัสการเจ้าค่ะ “.สภาวะนิพพานคือขันธ์ 5 ดับ ใช่ไหมคะ”

วิสัชนา:
นิพพานคือการดับของการเกิด ทุกข์เกิดแล้วก็ดับ เหมือนไฟเกิด มันร้อน ไฟดับลง ความไม่ร้อนก็ปรากฏ ขั้นธ์ห้าก็เหมืิอนดุ้นฟืน
อวิชชา เหมือนคนจุดไฟ
ตัณหา อุปาทาน กรรม ก็คือเชื้อทำให้เกิดไฟ เข้าใจไหม
ถ้าไม่เข้าใจ ก็ต้องขยันเจริญปัญญา เพื่อใช้แทนน้ำดับไฟให้ ดับเย็นลง

นิพพานคือบ้านของจิต

 
เมื่อก่อนจิตเร่ร่อนไปในอารมณ์ต่างๆ
ไปในความคิดต่างๆ
 
แต่ทีนี้มันไม่เร่ร่อน มันกลับมามีที่อยู่ที่ชัดเจน
เอานิพพานเป็นที่พึ่ง
 
นิพพานเป็นลักษณะจิตที่เป็นอิสระ
โปร่ง เบา สบาย ไม่เกร็ง ตึง เคร่งเครียด
ไม่พึ่งพาอะไรที่เป็นภายนอก
เช่น วัตถุ อารมณ์ทั้งหลาย
แต่อาศัยรูปเป็นเพียงที่พักพิง หรือเป็นที่ข้าม
 
ถ้าสมมติเส้นทางนี้เป็นทางน้ำ
ก็เรียกว่าเป็นเหมือนแพ หรือเรือ
ที่อาศัยเพียงข้ามฟาก
 
ไม่ใช่ยึดเอาเรือเป็นบ้าน
ไม่ใช่ยึดเอาบ้านข้างทางเป็นที่อยู่
แต่เราต้องการไปสู่เป้าหมาย
อิสรภาพคือเป้าหมายของเราเท่านั้น
เราก็ต้องไปฝึกดู

นิพพานคือรู้การเกิดดับ

มีคนถามว่าปฏิบัติเบาๆ สบายๆ อย่างนี้
มันจะไปถึงมรรค ผล นิพพาน ได้อย่างไร?

มรรค ผล นิพพาน ไม่ต้องไปถึง
ทำให้มันเกิดขณะนั้นเลย
มรรค ผล นิพพาน มันเกิดและดับตรงนั้น

นิพพานแปลว่าดับ
รู้เกิดรู้ดับ นิพพานก็ปรากฏแล้ว
แต่ทำให้มันเยอะๆ เป็นนิสัย
เป็นเนื้อเดียวกับชีวิต

นิพพานไม่ต้องถึงเพราะมันมีอยู่แล้ว
จะเดินตามหาลมหายใจให้ถึง ไม่มีทางเจอ
เพราะตัวเรากับลมหายใจเป็นอันเดียวกัน

เช่นเดียวกัน เราไม่ต้องไปตามหานิพพาน
เพราะนิพพานมีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว
เพียงแต่รู้จักและใช้มันเท่านั้นเอง

ทำอะไรก็ทำด้วยนิพพาน
ตามรู้ตามดูความเกิดความดับของร่างกาย
ไม่ใช่เป็นเรื่องยาก แต่เรามักจะสงสัย
เพราะฟังมาหลายครูบาอาจารย์
มันง่ายจนคิดว่าไม่น่าจะใช่
กลายเป็นความคิด

Direk Saksith
www.buddhayanando.com
f: พระพุทธยานันทภิกขุ (goo.gl/Nyk2ap),
พลิกใจให้ตื่นรู้ (goo.gl/rPzyfo),เซนสยาม (goo.gl/heEHDK),
หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท (goo.gl/QDxgyj),
Dynamic Meditation (นวัตกรรมแห่งสติ) goo.gl/zZTixP
………………………………………
คลิปนวัตกรรมแห่งสติ๔๖ goo.gl/WMCdeh ภาพที่๑๑

ต้องเข้าใจรูปนามนิพพานจึงปรากฏ

เมื่อปฏิบัติและเข้าใจอย่างถูกต้อง
ตามลำดับแล้ว
การทำพระนิพพานให้แจ้งจะปรากฎ

คำว่า ”นิพพาน” ในที่นี้ หมายความว่า
จิตของเราดับจากการปรุงแต่ง
สงบจากการปรุงแต่ง
กายของเราสงบจากเวทนา
มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

การทำพระนิพพานให้แจ้ง
หากเราไม่เข้าใจรูปนามมาก่อน
เราจะไม่เข้าใจว่านิพพานคืออะไร

นิพพานตามหลัก คือ
สภาพที่จิตไร้การปรุงแต่ง
ไร้การเสียดแทง
หรือ ดับการปรุงแต่ง
เยือกเย็นจากการปรุงแต่ง
ไร้สภาวะการปรุงแต่ง
เข้ามาเสียดแทงจิต

การทำเรื่องนี้ให้ปรากฎ
หมายความว่า
การกำหนด จดจ่อ ต่อเนื่อง
อยู่ในภาวะปัจจุบัน
มันจะต้องเข้มแข็งจริงๆ
สิ่งนี้จึงจะปรากฏ
สติปัฏฐานสี่แบบเคลื่อนไหว
https://www.buddhayanando.com/?p=8042

พระพุทธยานันทภิกขุ