ปรมัตถสภาวะขั้นสูง

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อยามสาม
แต่หลวงพ่อเทียนท่านไม่ได้รู้เรื่องปริยัติมาก่อน
การเข้าถึงญาณสามนั้น
โดยประสบการณ์ของท่านเอง
แต่ไปตรงกับพระพุทธเจ้า

เมื่อนำมาอ้างถึงญาณทั้งสามคือ
บุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ
และ อาสวักขยญาณ
บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
คือญาณที่รู้ความคิดและอารมณ์ที่มีมาก่อน
มันเกิดไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว ถึงได้รู้ว่ามันมี
คำว่าบุพเพแปลว่าอดีต
เช่น ความคิดเกิดขึ้น
ก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องเป็นราวไปแล้ว
ไม่รู้มันมาจากไหน
พอมาปฏิบัติ ท่านมาดูกายดูใจ มาเจริญสติ
ไปเริ่มเห็นความคิด
แต่ก่อนหน้านี้ไม่เห็น มีแต่เข้าไปในความคิด
เวลามันคิดอะไรก็เข้าไปเป็นเรื่องนั้น
แต่พอท่านเกิดญาณตัวนี้
ท่านเห็นความคิดมันเกิดขึ้นเป็นเรื่องๆ
ท่านก็เลยตามเข้าไปดูร้อยครั้งพันหน
พอคิดแล้วไม่ทันก็ตั้งใจดูใหม่
พอคิดก็ตั้งใจดู ขยับเข้าไปๆ ดูใกล้ต้นตอ
พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

“จนที่สุดเข้าไปเห็นความคิดเกิดจากการกระทบ
ของอายตนะภายนอกและอายตนะภายใน
เมื่อกระทบกันแล้วมันมีการเกิดขึ้นและดับลง”

เหมือนกับเราตีระฆัง ระฆังมีอยู่
ถ้าไม่มีการกระทบเสียงระฆังเกิดไม่ได้
พอกระทบเกิดเสียงขึ้น
และมีการดับไปของเสียงนั้น
ตอนแรกรู้ ได้ยินแต่เสียง แต่ไม่รู้เสียงเกิดจากอะไร
ก็ตามเสียงนั้นไปมันเกิดหลายครั้ง..
อ้อ..มันเกิดจาการตีระฆังนั่นเอง
ในทำนองเดียวกัน ตอนแรกเห็น รู้ความคิด
แต่ว่าไม่รู้มันเกิดจากไหน ท่านก็ตามเข้าไป
พอมันเกิดความคิดขึ้นมาตามเข้าไปดู
ตอนแรกอาจจะตามดูไม่ทัน ตามดูหลายครั้ง..
อ้อ..มันมีการกระทบ กระทบอะไร
ตากระทบรูป ลืมตาขึ้นมามีการกระทบรูปทันที
หลับตาลงการเห็นหายไป
เสียงมากระทบหู เกิดเป็นเสียง
กลิ่นมากระทบจมูก รสมากระทบลิ้น
สัมผัสมากระทบกาย อารมณ์มากระทบจิต
มีการกระทบถึงหกระดับ
การที่จะตามดูการกระทบแต่ละจุดนี้
ไม่มีทางทัน มันไว
ในที่สุดท่านก็ไปดูที่ปลายทางของมันทีเดียว
คือดูตรงที่จิต
จิตเป็นผู้ประมวลผลว่าสิ่งที่มากระทบ
มันคิดออกไปอย่างนี้ มันก็จะนึกภาพออก
เสียงนกกระทบมันคิดออกไปอย่างนี้
เสียงคนกระทบมันคิดออกไปอย่างนี้
เสียงน้ำไหลมากระทบมันคิดออกไปอย่างนี้
เสียงลมพัดใบไม้กระทบมันออกมาเป็นอย่างนี้
เสียงพัดลมกระทบมันออกมาเป็นอย่างนี้
เสียงคนพูดคุยกันกระทบมันออกมาเป็นอย่างนี้
จิตจะประมวลผลออกมาทันที
ก็เริ่มเข้าไปดูจิตเลยทีเดียว
เมื่อมีการกระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

การกระทบของอายตนะทั้งหกนั้น จะแบ่งเป็น ๓ กลุ่ม คือ

กลุ่มที่๑ กระทบจากภายนอกตลอดเวลา
คือ ตากับหู
ตานี้ลืมตาขึ้นกระทบได้ตลอดเวลา
หูเสียงอะไรเกิดขึ้นกระทบได้ตลอดเวลา
กลุ่มที่๒ กระทบบางครั้งบางคราว
ได้แก่จมูกกับลิ้น
กลิ่นที่จะมากระทบจมูก รสมากระทบลิ้น
มีเป็นบางครั้งบางคราว
กลุ่มที่๓ กระทบจากภายในตัวของมันเอง
และรับมาจากที่อื่น ตลอดเวลาคือ กายกับใจ
กายมีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่ง ตึง
กระทบตลอดเวลา
อารมณ์นั้นนอกจากตัวของมันเอง
จะกระทบกับสิ่งกระทบแล้ว
ตัวมันเองยังรับการกระทบ
จากตา หู จมูก ลิ้น กาย อีกต่างหาก
กลุ่มแรกมันก็รับจากข้างนอก
เสียงมาจากข้างนอก ภาพมาจากข้างนอก
ในส่วนกายมันกระทบข้างใน
เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เข่ง ตึง
มันกระทบอยู่ข้างในตัวของมันเอง
จิตมันเกิดอารมณ์ชอบ ไม่ชอบ
บางทีมันเกิดขึ้นของมันเอง
บางทีก็รับมาจากทางอื่น
กายกับใจทั้งเกิดมาจากตัวเอง
และรับมาจากทางอื่น
แต่ตากับหูรับมาจากข้างนอกอย่างเดียว
จมูกกับลิ้นมีการกระทบเป็นบางครั้ง
เมื่อเรามีกลิ่น เมื่อเราทานอาหาร
พอประมวลผลไป ดูการกระทบที่จิตเลยทีเดียว
ไม่ว่าจะกระทบระยะสั้นหรือระยะยาว
กระทบตลอดเวลาหรือบางครั้งบางคราว
จิตก็จะประมวลผลออกมาเป็นความคิด

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

ความคิดเปรียบเสมือนเสียงระฆัง
การกระทบของอายตนะทั้งสอง
เปรียบเหมือนระฆังกับฆ้อนกระทบกัน

ระฆังเป็นอายตนะภายใน
ฆ้อนเป็นอายตนะภายนอก
เสียงที่เกิดจากการกระทบ
เปรียบเสมือนความคิด
ความคิดที่เกิดแล้วก็ดับไป
แต่พอตีกันซ้ำๆมันเกิดตลอด
ความคิดก็เหมือนกันที่มันคิดได้ตลอด
แสดงว่ามันมีการกระทบซ้ำๆ
ความคิดบางครั้งมันกระทบครั้งเดียวมันก็จบ
เหมือนเราตีระฆังตอนเช้าเราจะตีรัวก่อน
แล้วจากนั้นก็ตีเป็นจังหวะๆ
พอจิตของเรากระทบเป็นลักษณะรัวๆ
มันจะคิดกันต่อเนื่อง แล้วก็หนักใจ หนักหัว
แสดงว่ามีการกระทบอย่างต่อเนื่อง
ถามว่ากระทบทางไหน เราก็ไม่สามารถรู้ได้
เพราะเราไม่เห็นการเกิดดับ

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

แต่พอเรามาเรียนรู้มาปฏิบัติ
เราก็มีการตรวจสอบว่า
ที่เราหนักหัวคิดตลอดเวลานี้
มันมาจากทางไหนกันแน่

อารมณ์มากระทบจิต
หรือสัมผัสมากระทบกาย
หรือเสียงมากระทบหู
หรือภาพมากระทบตา
มันเริ่มสำรวจ
เวลามาเจริญสติเมื่อสำรวจไปสำรวจมา
ก็จะเห็นการเกิดดับ
เห็นการเกิดดับที่มันเกิดขึ้นเรียกว่า
“จุตูปปาตญาณ” เป็นญาณที่สอง
จุตูปปาตญาณหมายความว่า จุติกับอุบัติ
จุติแปลว่าเคลื่อนหรือแปลว่าดับไป
อุบัติแปลว่าเกิด
เมื่อพระองค์เห็นญาณที่สอง
อาสวะธรรมทั้งหลายมันเกิดตรงนี้เอง
เมื่อมันมากระทบเราควบคุมมันไม่ได้
แต่เมื่อเรารู้เห็นอย่างนี้ว่าการกระทบเกิดจากอะไร
ก็สามารถควบคุมการกระทบได้
หมายความว่าการกระทบอาจจะควบคุมไม่ได้
แต่ควบคุมผลของการกระทบได้
เช่นเราตีระฆังจะให้เบาก็ได้ จะให้ดังก็ได้
ตีแล้วไม่ให้ดังก็ได้ ถ้าตีให้เป็น
เหมือนกันสิ่งที่กระทบต่างๆ
ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
จะให้มันคิดก็ได้ ไม่ให้มันคิดก็ได้
หรือให้มันคิดไปตามที่เราต้องการก็ได้

พระพุทธยานันทภิกขุหลวงพ่อมหาดิเรกพุทธยานันโทDirekSaksithDevaNandaดิเรกศักดิ์สิทธิ์นวัตกรรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภBuddhismVipassanaวิปัสสนาศาสนาพุทธพุทธศาสนา Dynamic Meditationนวัตกรรมแห่งสติmindfulnessclubชมรมคนรักสติพลิกใจให้ตื่นรู้เซนสยาม

ผลของการเข้าไปรู้การเกิดดับนี้เอง
ทำให้รู้วิธีการเลือกที่จะให้สิ่งมากระทบ
มีผลออกมาดีหรือไม่ดี

ท่านก็เลยรู้ว่าผลของการกระทบนี้
ที่ออกมาอย่างละเอียดที่สุด ออกมาเป็นอาสวะ
ฉะนั้นก็รู้วิธีจัดการความคิดที่เป็นอาสวะ
คือความคิดที่ไม่ดีจัดการอย่างไร
ก็ไปควบคุมไม่ให้ความเผลอเข้ามากระทบ
ให้กระทบด้วยความรู้ เรียกว่ากระทบด้วยวิชชา
ไม่ให้กระทบด้วยอวิชชา
พอกระทบด้วยอวิชชามันก็จะเป็นอวิชชาสวะ
ก็จะเกิดเป็นกามาสวะ และภวาสวะตามมา
ท่านก็มาถอนอาสวะได้ เพราะมาสร้างตัวรู้
ให้กระทบด้วยอำนาจของตัวรู้คือวิชชา
ท่านก็เลยมาสร้างตัวรู้ขึ้นมา
เป็นตัวตั้งรับของการกระทบ
กระทบทุกครั้งมีตัวรู้มารองรับ
อาสวะก็ไม่เกิด
เกิดญาณสุดท้ายคืออาสวักขยญาณ
ฉะนั้นจะเห็นว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านี้
มีเหตุผลสามารถตรองตามเห็นจริงได้
สามารถลำดับให้เห็นเพราะมีอย่างนี้ อย่างนี้จึงมี
Direk Saksith
www.buddhayanando.com
f: พระพุทธยานันทภิกขุ (goo.gl/Nyk2ap),
พลิกใจให้ตื่นรู้ (goo.gl/rPzyfo),
หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท (goo.gl/QDxgyj),
เซนสยาม (goo.gl/heEHDK)
…………………………..

ปรมัตถ์สภาวะขั้นสูง

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อยามสาม แต่หลวงพ่อเทียนท่านไม่ได้รู้เรื่องปริยัติมาก่อน การเข้าถึงญาณสามนั้นโดยประสบการณ์ของท่านเอง แต่ไปตรงกับพระพุทธเจ้า เมื่อนำมาอ้างถึงญาณทั้ง3 คือ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ และ อาสวักขยญาณ
..

บุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือญาณที่รู้ความคิดและอารมณ์ที่มีมาก่อน มันเกิดไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว ถึงได้รู้ว่ามันมี คำว่าบุพเพแปลว่าอดีต เช่นความคิดเกิดขึ้นก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องเป็นราวไปแล้ว ไม่รู้มันมาจากไหน

พอมาปฏิบัติ ท่านมาดูกาย ดูใจ มาเจริญสติ ไปเริ่มเห็นความคิด แต่ก่อนหน้านี้ไม่เห็น มีแต่เข้าไปในความคิด เวลามันคิดอะไรก็เข้าไปเป็นเรื่องนั้น แต่พอท่านเกิดญาณตัวนี้ท่านเห็นความคิดมันเกิดขึ้นเป็นเรื่องๆ ท่านก็เลยตามเข้าไปดูร้อยครั้งพันหน พอคิดแล้วไม่ทันก็ตั้งใจดูใหม่ พอคิดก็ตั้งใจดู ขยับเข้าไปๆดูใกล้ต้นตอ

“จนที่สุดเข้าไปเห็นความคิดเกิดจากการกระทบของ อายตนะภายนอกและอายตนะภายใน เมื่อกระทบกันแล้วมันมีการเกิดขึ้นและดับลง”

เหมือนกับเราตีระฆัง ระฆังมีอยู่ ถ้าไม่มีการกระทบเสียงระฆังเกิดไม่ได้ พอกระทบเกิดเสียงขึ้นและมีการดับไปของเสียงนั้น ตอนแรกรู้ ได้ยินแต่เสียง แต่ไม่รู้เสียงเกิดจากอะไร ก็ตามเสียงนั้นไปมันเกิดหลายครั้ง..อ้อ..มันเกิดจาการตีระฆังนั่นเอง
ในทำนองเดียวกัน ตอนแรกเห็น รู้ความคิด แต่ว่าไม่รู้มันเกิดจากไหน ท่านก็ตามเข้าไปพอมันเกิดความคิดขึ้นมาตามเข้าไปดู ตอนแรกอาจจะตามดูไม่ทัน ตามดูหลายครั้ง..อ้อ..มันมีการกระทบ กระทบอะไร ตากระทบรูป ลืมตาขึ้นมามีการกระทบรูปทันทีหลับตาลงการเห็นหายไป
เสียงมากระทบหู เกิดเป็นเสียง กลิ่นมากระทบจมูก รสมากระทบลิ้น สัมผัสมากระทบกาย อารมณ์มากระทบจิต มีการกระทบถึง 6 ระดับ การที่จะตามดูการกระทบแต่ละจุดนี้ไม่มีทางทัน มันไว ในที่สุดท่านก็ไปดูที่ปลายทางของมันทีเดียว คือดูตรงที่จิต

จิตเป็นผู้ประมวลผลว่าสิ่งที่มากระทบนี้ มันก็จะนึกภาพออก เสียงนกกระทบมันคิดออกไปอย่างนี้ เสียงคนกระทบมันคิดออกไปอย่างนี้ เสียงน้ำไหลมากระทบมันคิดออกไปอย่างนี้ เสียงลมพัดใบไม้กระทบมันออกมาเป็นอย่างนี้

เสียงพัดลมกระทบมันออกมาเป็นอย่างนี้ เสียงคนพูดคุยกันกระทบมันออกมาเป็นอย่างนี้

จิตจะประมวลผลออกมาทันที ก็เริ่มเข้าไปดูจิตเลยทีเดียวเมื่อมันกระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย

..

การกระทบของอายตนะทั้ง 6 นั้นจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่1 กระทบจากภายนอกตลอด เวลาคือ ตากับหู ตานี้ลืมตาขึ้นกระทบได้ตลอดเวลา หูเสียงอะไรเกิดขึ้นกระทบได้ตลอดเวลา
กลุ่มที่2 กระทบบางครั้งบางคราว ได้แก่จมูกกับลิ้น กลิ่นที่จะมากระทบจมูก รสมากระทบลิ้น มีเป็นบางครั้งบางคราว
กลุ่มที่3 คือกระทบจากภายในตัวของมันเองและรับมาจากที่อื่น ตลอดเวลาคือ กายกับใจ
กายมีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่ง ตึง กระทบตลอดเวลา
อารมณ์นั้นนอกจากตัวของมันเองจะกระทบกับสิ่ง กระทบแล้ว ตัวมันเองยังรับการกระทบ จากตา หู จมูก ลิ้น กาย อีกต่างหาก กลุ่มแรกมันก็รับจากข้างนอก เสียงมาจากข้างนอก ภาพมาจากข้างนอก ในส่วนกายมันกระทบข้างในเช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เข่ง ตึง มันกระทบอยู่ข้างในตัวของมันเอง
จิตมันเกิดอารมณ์ชอบ ไม่ชอบ บางที มันเกิดขึ้นของมันเอง บางทีก็รับมาจากทางอื่น
กายกับใจทั้งเกิดมาจากตัวเองและรับมาจากทางอื่น แต่ตากับหูรับมาจากข้างนอกอย่างเดียว จมูกกับลิ้นเป็นบางครั้งเมื่อเรามีกลิ่นเมื่อเราทานอาหาร พอประมวลผลไปดูการกระทบที่จิตเลยทีเดียวไม่ว่าจะกระทบระยะสั้นระยะยาว กระทบตลอดเวลาหรือบางครั้งบางคราว จิตก็จะประมวลผลออกมาเป็นความคิด ความคิดเปรียบเสมือนเสียงระฆัง การกระทบของอายตนะทั้ง2เปรียบเหมือนระฆังกับฆ้อนกระทบกัน ระฆังเป็นอายตนะภายในฆ้อนเป็นอายตนะภายนอก เสียงที่เกิดจากการกระทบเปรียบเสมือนความคิด ความคิดที่เกิดแล้วก็ดับไปแต่พอตีกันซ้ำๆมันเกิดตลอด ความคิดก็เหมือนกันที่มันคิดได้ตลอดแสดงว่ามันมีการกระทบซ้ำๆ
ความคิดบางครั้งมันกระทบครั้งเดียวมันก็จบเหมือนเราตีระฆังตอนเช้าเราจะตีรัวก่อนแล้วจากนั้นก็ตีเป็นจังหวะๆ พอจิตของเรากระทบเป็นลักษณะรัวๆมันจะคิดกันต่อเนื่องแล้วก็หนัก หนักใจ หนักหัวแสดงว่ามีการกระทบอย่างต่อเนื่อง ถามว่ากระทบทางไหน เราก็ไม่สามารถรู้ได้เพราะเราไม่เห็นการเกิดดับ แต่พอเรามาเรียนรู้มาปฏิบัติ เราก็มีการตรวจสอบว่าเราหนักหัวคิดตลอดเวลานี้มันมาจากทางไหนกันแน่ อารมณ์มากระทบจิตหรือสัมผัสมากระทบกาย หรือเสียงมากระทบหูหรือภาพมากระทบตา มันเริ่มสำรวจเวลามาเจริญสติเมื่อสำรวจไปสำรวจมาก็จะเห็นการเกิดดับ เห็นการเกิดดับที่มันเกิดขึ้นเรียกว่า “จุตูปปาตญาณ” เป็นญาณที่2

จุตูปปาตญาณหมายความว่า จุติกับอุบัติ จุติแปลว่าเคลื่อนหรือแปลว่าดับไป อุบัติแปลว่าเกิด เมื่อพระองค์เห็นญาณที่2อาสวะธรรมทั้งหลายมันเกิดตรงนี้เอง เมื่อมันมากระทบเราควบคุมมันไม่ได้ แต่เมื่อเรารู้เห็นอย่างนี้ว่าการกระทบเกิดจากอะไรก็สามารถควบคุมการกระทบได้คือ หมายความว่าการกระทบอาจจะควบคุมไม่ได้ แต่ควบคุมผลของการกระทบได้ เช่นเราตีระฆังจะให้เบาก็ได้ จะให้ดังก็ได้ ตีแล้วไม่ให้ดังก็ได้ถ้าตีให้เป็น เหมือนกันสิ่งที่กระทบต่างๆทั้งจมูก ลิ้น กาย ใจจะให้มันคิดก็ได้ไม่ให้มันคิดก็ได้หรือให้มันคิดไปตามที่เราต้องการก็ได้

ผลของการเข้าไปรู้การเกิดดับนี้เองทำให้รู้วิธีการเลือกที่จะให้สิ่งมากระทบผลออกมาดีหรือไม่ดี ท่านก็เลยรู้ว่าผลของการกระทบนี้ที่ออกมาอย่างละเอียดที่สุดออกมาเป็นอาสวะ ฉะนั้นก็รู้วิธีจัดการความคิดที่เป็นอาสวะคือความคิดที่ไม่ดีจัดการยังอย่างไร ก็ไปควบคุมไม่ให้ความเผลอเข้ามากระทบ ให้กระทบด้วยความรู้ เรียกว่ากระทบด้วยวิชชาไม่ให้กระทบด้วยอวิชชา พอกระทบด้วยอวิชชามันก็จะเป็นอวิชชาสวะก็จะเกิดเป็นกามาสวะและภวาสวะตามมา
….
ท่านก็มาถอนอาสวะได้ เพราะมาสร้างตัวรู้ ให้กระทบด้วยอำนาจของตัวรู้คือวิชชา ท่านก็เลยมาสร้างตัวรู้ขึ้นมาเป็นตัวตั้งรับของการกระทบ กระทบทุกครั้งมีตัวรู้มารองรับอาสวะก็ไม่เกิด เกิดญาณสุดท้ายคืออาสวักขยญาณ
ฉะนั้นจะเห็นว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านี้มีเหตุผลสามารถตรองตามเห็นจริงได้ สามารถลำดับให้เห็นเพราะมีอย่างนี้อย่าง อย่างนี้จึงมี
Direk Saksith
www.buddhayanando.com
f: พระพุทธยานันทภิกขุ, พลิกใจให้ตื่นรู้,
หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท, เซนสยาม