ธรรมใดๆ ก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

วิปัสสนาไม่ตัดสินแต่จัดการ

กระแสอารมณ์ต่างๆ
ที่ไหลผ่านเข้ามา
ก็เหมือนกระแสน้ำ
 
ส่วนใจของเราเหมือนโคกหิน
ที่กระแสน้ำต้องไหลผ่าน
เราต้องเป็นผู้สังเกต เป็นผู้ดูไปเรื่อยๆ
 
จนกระทั่งเห็นความจริงว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
เป็นอย่างนี้ มันไม่เป็นอย่างอื่น
 
พอรู้อย่างนี้แล้วก็จะสบาย ปลอดภัย
ไม่ต้องใช้ตัวนึกตัวคิด เข้ามาตัดสินอะไร
เพียงแต่รู้แล้วก็ปล่อย รู้แล้วก็ปล่อย
 
แต่ส่วนใหญ่มันจะเข้าไปตัดสิน
ที่มีอยู่แค่ 2 ทาง คือ
ตัดสินทางหนึ่งว่าดี อีกทางหนึ่งว่าไม่ดี
สบาย -ไม่สบาย ชอบ-ไม่ชอบ
 
เมื่อมีการตัดสิน จะต้องมีฝ่ายถูก-ฝ่ายผิด
แต่วิปัสสนานั้นให้มองแบบไม่ต้องตัดสิน
ให้มองดูเฉยๆ แต่จัดการ
เป็นการไม่ตัดสินแต่จัดการนั้นเอง
 
ส่วนไหนที่เราต้องการก็จัดการส่วนนั้น
ส่วนไหนที่เราไม่ต้องการ ก็ไม่ต้องจัดการ
 
เช่น เรานั่ง เรารู้สึกปวดขา
เราไม่ต้องตัดสินการปวดขา
ว่าดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด
แต่จัดการในส่วนที่เราไม่ต้องการ
คืออาการปวดขาออกไปเท่านั้น
 
การจัดการเอามันออกไป
มิได้หมายความว่ามันชั่วหรือมันไม่ดี
แต่เราเห็นว่ามันไม่จำเป็นเท่านั้นเอง

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ไม่มีดี ไม่มีชั่ว

มันไม่ดีไม่ชั่ว เรียกว่ามองอย่างวิปัสสนา
คือมองแบบผู้จัดการ ไม่ได้มองแบบผู้ตัดสิน
 
เพราะถ้าไปมองแบบผู้ตัดสินแล้ว
มันจะต้องมีผู้ดี-ผู้ชั่ว ผู้ถูก-ผู้ผิด
 
แต่ถ้ามองแบบผู้จัดการ คือ
เราต้องทำในส่วนที่จำเป็นและต้องการเท่านั้น
 
ดังนั้น ส่วนที่ไม่ต้องการและไม่จำเป็น
ไม่ได้หมายความส่วนนั้นไม่ดี
เพียงแต่เป็นส่วนที่เราไม่ต้องการเท่านั้น
นี่คือความหมายที่เราปฏิบัติการเจริญสติ
 
ดังเช่น เมื่อเรานั่งท่านี้
แล้วเราต้องการเปลี่ยนท่านั่ง
มิได้หมายความว่าท่านั่งนี้ชั่ว
หรือท่านั่งนี้ไม่ดี
 
แต่เป็นเพราะว่าเราไม่ต้องการ
เพราะมันเป็นส่วนเกิน
 
เช่น มันสบายเกินบ้าง ไม่สบายเกินบ้าง
แต่ถ้ามันสบายแต่พอดี ไม่สบายแต่พอดี
เราก็สามารถทนใช้มันได้ต่อไปอีก
เพราะมันมีความพอดี พอทนได้
 
แต่ถ้ามันเกินพอดีแล้ว
ต้องเอาออก ต้องเปลี่ยน
เพราะท่านั่งนี้มันปวดเกินไป
เหลืออด เหลือทน เกินพอดี
ก็ต้องเอาออก
 
ต้องเปลี่ยนเอาท่านั่ง
ที่เป็นส่วนเกินนี้ออกไป
อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้จัดการ
 
แต่ถ้าเป็นการตัดสินนั้น
จะมีคำว่าชอบหรือไม่ชอบ
พอใจไม่พอใจขึ้นมา
เป็นความคิดที่เป็นผลให้เกิดตัวสมุทัย
คือปัจจัยให้เกิดทุกข์นั่นเอง

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

รวมวิญญาณให้เป็นญาณ

เมื่อเราไปรู้ในส่วนต่างๆ
ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ตัวนี้เราเรียกว่าวิญญาณ
แต่พอมาเป็นตัวรู้สักแต่ว่าตัวรู้
จากส่วนไหนของร่างกายก็ตาม
เป็นอายตนะของตัวรู้ ตัวเดียว
ตัวรู้ตัวนี้พัฒนา
ให้เป็นภูมิธรรมต่างๆได้
เช่นขณะนี้เรานั่ง
เรารู้สึกตัวว่าเรา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง
อบอ้าว ตึง เคร่ง เคลื่อนไหว
รวมทั้งหมดเป็นตัวรู้ล้วนๆ
 
การที่เรารับรู้โดยไม่แยกแยะ
ไม่ไปปรุงแต่ง ไม่ได้ไปสมมุติว่าเป็นนั่นนี่
ตัวรู้จึงเป็นตัวรู้ล้วนๆ
 
มันเป็นตัวรู้ที่สุขบ้าง ทุกข์บ้าง
สบายบ้าง ไม่สบายบ้าง
เราเห็นมันเฉยๆ เห็นอาการรู้เฉยๆ
ไม่ได้ไม่แยกแยะ ไม่ไปปรุงแต่ง
ไม่ได้ไปสมมุติว่าเป็นนั่นนี้
 
ตัวรู้ซึ่งเป็นตัวรู้ล้วนๆ
ไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่าอาการรู้นี้เป็นเรา
เป็นเราร้อน เป็นเราชอบ เป็นเราไม่ชอบ
เป็นเราสุข เป็นเราทุกข์
เป็นเราสบาย เป็นเราไม่สบาย
 
มันยังไม่เป็นตัวนั้น แต่มันเป็นตัวรู้เฉยๆ
ตรงนี้เองเป็นที่เราสนใจจะศึกษา
เราจะจำกัดขอบเขตของการรู้
ให้อยู่แค่สักแต่ว่าได้อย่างไร
 
ดังนั้น เราจะต้องฝึกฝน
ถ้าเราไม่มีการฝึกฝน ไม่มีการพัฒนา
ตัวรู้นี้มันก็จะไม่เติบโต
 
มันยังไม่รวมเป็นหนึ่งเดียว
มันยังกระจัดกระจายไปสู่อายตนะต่างๆ
มันจะไม่มีพลัง เราเรียกว่าวิญญาณ
 
ตัวรู้นี้จะไปที่อายตนะต่างๆ
ถ้าเราจะพัฒนาให้เป็นปรมัตถ์
มันจะเหลือตัวญาณหรือตัวรู้
หรือจิต เจตสิกเท่านั้น
 
เราจะทำอย่างไรให้เหลือตัวรู้ที่ถูกต้อง
ตัวเข้าใจที่ถูกต้อง ตัวเห็นที่ถูกต้อง
จึงจะเป็นตัวพุทธะได้
 
ทุกคนมีตัวรู้หรือตัวพุทธะอยู่แล้ว
แต่อยากจะถามว่ารู้ถูกหรือรู้ผิด
ส่วนนี้คือสิ่งที่เราต้องฝึก
 
เพื่อที่จะแยกให้เห็นว่า
เรารู้ถูกเป็นอย่างไร รู้ผิดเป็นอย่างไร
แล้วรู้ถูกมีผลเป็นอย่างไร
รู้ผิดมีผลเป็นอย่างไร
 
ที่เรามาฝึกเจริญสตินั้น
เราต้องพยายามทำความเพียร
เพื่อรวมตัวรู้ที่ส่งไปสู่อายตนะต่างๆ
ให้เป็นตัวรู้เพียงหนึ่งเดียว

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ปฏิบัติต่อเนื่อง เพื่อบ่มเพาะให้เกิดภาวนามยปัญญา

การเจริญสติต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
และต้องทำเข้มข้นตลอดเวลา
เพื่อบ่มเพาะปัญญาให้มันเติบโตอย่างไว
เราจึงจะได้ใช้ประโยชน์
 
ถ้าเราไม่บ่มเพาะแบบนี้
ก็ไม่เกิดภาวนามยปัญญา
คือปัญญาที่เกิดจากการภาวนา
 
แม้จะเรียนจบดอกเตอร์
เป็นศาสตราจารย์ กี่ปริญญา กี่ศาสตร์ก็ตาม
แต่ก็ยังไม่รู้ปัญญาอย่างนี้
 
พระพุทธเจ้าเรียนจบมา 18 ศาสตร์
18 ดอกเตอร์ 18 สาขา
พระองค์ยังไม่รู้เรื่องนี้ได้
 
พระองค์จึงเลิกใช้ความรู้นี้ทั้งหมด
และไปปฏิบัติสมถะ
จนพระองค์ได้ถึงสมาบัติ 8
แต่ก็ยังไม่เกิดความรู้นี้
คือยังออกจากความคิดไม่ได้
พระองค์ก็ทรงเลิกอีกเช่นกัน
 
ต่อมาพระองค์เปลี่ยนมาดูกาย-ดูใจ
สังเกตกาย ศึกษากาย ศึกษาใจ
ตามความเป็นจริง
ปรากฏว่าสามารถเอาทุกข์ออกจากใจ
และสามารถแก้ไขจิตใจ
ให้เป็นอิสระจากความคิดได้
 
หลักการนี้พระองค์ทรงค้นพบมา
ประมาณสามพันปีและยังคงใช้ได้อยู่
ฉะนั้น เราอย่าไปเบื่อหน่ายท้อถอย
กับการปฏิบัติวิปัสสนา
 
เพียงแต่ต้องเปลี่ยนแปลงไป
ตามความเหมาะสม
เพราะสถานที่นั้นๆ อินทรีย์ และจิตใจ
ร่างกายของเรามันรับไม่ได้
 
หรือเรายังไม่มีประสบการณ์
ในการแก้ไขปัญหา
เราจึงเอาสถานการณ์จริง
เข้ามาช่วยแก้ไขบ้าง
 
แต่ถ้าเรามีประสบการณ์
ในการแก้ไขปัญหาแล้ว
แม้เราจะอยู่อย่างไร
อากาศอย่างไร สถานที่อย่างไร
เราก็สามารถอยู่ได้อย่างสบาย
 
เพราะเราสามารถแก้ไขปัญหา
ในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้
 
ที่เรายังต้องปรับเปลี่ยนอย่างนั้น อย่างนี้
เพราะเราต้องการให้เกิดปัญญา
เพื่อที่จะกระตุ้นตัวรู้ให้ตื่นตัวอย่างต่อเนื่อง
 
เพราะวิปัสสนาปัญญา
ต้องการความตื่นรู้ที่ต่อเนื่อง
ไม่ใช่รู้ขาดๆ หายๆ
 
ตัวรู้ที่แท้จริงหมายความว่า
เราทำก็รู้ ไม่ทำก็รู้ (คือรู้ว่ามันไม่ทำ)
เราปฏิบัติเราก็รู้ ไม่ปฏิบัติก็รู้
มันจะรู้เข้าไปทุกเรื่อง ตลอดเวลา
 
รู้การเจ็บ-การปวด การสบาย-ไม่สบาย
รู้หิว-รู้ร้อน- รู้หนาวรู้มันไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งว่าใจของเรา
มันเป็นทางผ่านของตัวรู้
 
เหมือนหินที่โดนน้ำไหลผ่านอยู่ทุกวันๆ
จากก้อนหินที่เคยขรุขระ
ก็กลายเป็นหินก้อนกลม เกลี้ยงเกลา
 
เมื่อความคิดและอารมณ์
มันผ่านใจเราทุกวันๆ
มันก็เข้าไปขัดเกลาจิตใจของเราไปด้วย
 
แต่ถ้าหากว่าความคิดและอารมณ์
มันไม่ผ่าน มันขัง ติดข้อง มันติดอยู่อย่างนั้น
จิตใจของเรามันก็ไม่เกลี้ยงเกลา เช่นกัน.

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

การดับเองและการทำให้ดับ.

การดับมีอยู่สองลักษณะ คือ
การดับเอง และการทำให้ดับ
 
บางอย่างเกิดแล้วก็ดับเองได้
บางอย่างเกิดแล้วก็ต้องช่วยมันดับ
 
สมมุติว่าเราปวดแขน
เรายกแขนนี้ไปอีกข้างหนึ่ง
ความปวดมันก็หายไป
 
มันดับเอง คือการดับโดยสัญชาตญาณ
เราจึงมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
เพื่อบำบัดความทุกข์
 
แต่ถ้าเรานั่งนิ่งเกร็งเป็นหิน
เราก็จะทุกข์มาก เพราะเส้นมันจะตึง
เราจึงได้ดิ้นรน ให้เคลื่อนไหวตลอดเวลา
เพราะมันเป็นทุกข์
 
แต่ถ้าไหนๆ ความทุกข์ได้เกิดขึ้นแล้ว
และเราสามารถแปลงความทุกข์
ให้มาเป็นความรู้ได้
 
โดยก่อนที่เราจะเคลื่อนไหวหรือขณะเคลื่อนไหว
ให้เราเอาสติเข้าไปรู้
เราก็สามารถแปลงตัวทุกข์เป็นตัวรู้ได้
 
เพราะเราได้ตามดูอาการเคลื่อนไหว
บทบาทที่เราปฏิบัตินี้คือการดับตัวที่ 2
คือ การทำให้ดับ
ซึ่งเป็นการดับด้วยสติ-ปัญญา
 
ไม่มีอะไรยาก แต่ที่มันยาก
ก็เพราะว่าเรายังไม่เข้าใจธรรม
หรือยังไม่ศรัทธาที่จะทำให้มากๆ บ่อยๆ
 
ถ้าเรามีศรัทธา ความเพียรบ่อยๆ มีความเข้าใจ
เราจะปฏิบัติตามวิธีการของหลวงพ่อเทียน
ได้อย่างรวดเร็ว
 
ถ้าศรัทธาของเราไม่เข้มแข็ง
ความเพียรไม่เข้มแข็ง
ความเข้าใจไม่ชัดแจ้ง
จะทำให้ผลการปฏิบัติล่าช้า
 
เพราะฉะนั้นการเจ็บ การป่วย
การสบาย ไม่สบายเหล่านี้
ไม่ใช่อุปสรรคของการปฏิบัติ
 
แต่อุปสรรคคือความเข้าใจ
ถ้าเราเข้าใจถูกต้อง
ก็จะแก้ไขปัญหากายใจได้ทันการณ์

ตัวอยากบังคับเราตลอดเวลา

ตัวอยากที่อยู่ข้างในของเรา ตัวอยาก มันบังคับเราตลอดเวลา เรามาเจริญสติ สมาธิ ปัญญา เราต้องการเอาตัวสติ สมาธิ ปัญญา ใช้ลงไปในชีวิตของเรา แทนความอยาก
เป้าหมายของเราในการปฏิบัติก็คือเอาตัวที่เราปฏิบัตินี่แหละ มาเป็นตัวชีวิต ให้ฝึกใช้กับมันไปเลย เราปฏิบัติธรรม ตอนฟังธรรม แล้วบอกให้มันจบ เพื่อจะรีบไปทานข้าว ทานข้าวอยากให้มันเสร็จ อยากจะรีบลุกไปทานน้ำ จะรีบไปไหน จะรีบไปปฏิบัติ พอไปฏิบัติ ก็จะรีบให้มันเสร็จ มันจะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอด เท่าที่อาตมาสังเกต ช่วงที่ทำ เราไม่ได้สังเกตเลยว่า เราได้ใส่สติลงไปไหม เราได้ใส่สมาธิลงไปไหม เราได้ใส่ปัญญาลงไปไหม เราเลยพลาดหมดเลย
อย่าว่าแต่โยม แม้แต่พระนักปฏิบัติเอง ก็พลาดหมดในจุดนี้ เราเลยไม่มีความสุขอยู่กับ สติ สมาธิ ปัญญา ในชีวิตจริง อาตมาสังเกตอยู่เสมอในจุดนี้ สังเกตนักปฏิบัติ สังเกตพระเณร นักปฏิบัติของเรา ชีวิตทั้งชีวิตมันไปกับความอยากทั้งหมด มันไม่ได้ไปกับสติ สมาธิ บางครั้ง บางคนนึกได้ ก็เริ่มมีสติ พอเผลออีก ก็ไปกับมันอีก
ถ้าตราบใดตัวสตินี้ ยังไม่เป็นอันเดียวกับชีวิต การปฏิบัติของเราก็ยังไม่จบ ไม่สิ้น ต่อเมื่อใดการใช้ชีวิตของเรากับการมีสติ เป็นอันเดียวกัน นั่นแหละ เรียกว่า จบพรหมจรรย์
พรหมจรรย์นี้มีที่จบนะ มันจบต่อเมื่อ สติ สมาธิ ปัญญา กับชีวิตจริงเป็นอันเดียวกัน ถ้าตราบใดยังแยกกันอยู่แล้วยังๆไม่จบ
ดังนั้น การปฏิบัติธรรมให้ระลึกอยู่เสมอ ให้มันเป็นชีวิตๆ ถ้าหากว่าใครก็ตามสามารถ นำเอาตัวสติ สมาธิ ปัญญา ที่ฝึก 5 วัน นี่เพียงพอแล้ว เพียงพอที่จะนำไปใช้กับชีวิต นับตั้งแต่ตื่นจนหลับนอน ให้คอยระลึกอยู่เสมอว่า ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ เราได้ใช้สติ อย่างที่เราฝึกมาไหม เดี๋ยวนี้ได้ใช้สมาธิ ปัญญา อย่างที่ฝึกมาไหม คอยระลึกอย่างนี้เสมอ นั่นเรียกว่าการปฏิบัติ เมื่อใดมันเกิดความรีบร้อนขึ้นมา ให้หยุดก่อน ! แล้วตั้งสติใหม่ ทำอย่างนี้เรื่อยๆไป อันนี้จะเป็นการปฏิบัติที่ดีที่สุด..

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ความรู้สึกตัวแบบสัมมาสติ

ลักษณะของการเกิดความรู้ตัว แบบสัมมาสติ
1.รู้ตัวชัดกับการเคลื่อนไหวทุกส่วนของกายตลอดเวลา
2.รู้สึกถึงความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ของกายได้ชัดเจน
3.จิตอยู่กับปัจจุบัน คือรู้ว่า อะไรเกิดขึ้นกับกายและจิต และสามารถจัดการกายกับจิตให้ดำรงอยู่ด้วยกันอย่างต่อเนื่อง.
แต่ถ้าจิตไม่อยู่กับปัจจุบัน แสดงว่ากายกำลังไม่สบาย จิตจึงไม่ต้องการอยู่กับกาย หรือกายสบายเกินไปเพราะถูกกระตุ้นให้สบายมากกว่าปกติ จิตก็หลงเพลิน
4.อารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับจิตตลอดเวลา มีสามอารมณ์คือ อารมณ์ดี อารมณ์ไม่ดี และอารมณ์ไม่แน่ไม่นอน
ข้อแรกอารมณ์ดี เป็นเหตุใกล้ให้เกิดกุศล ข้อสองเป็นตรงข้าม เป็นเหตุใกล้
ให้เกิดอกุศล อารมณ์คือไม่แน่นอน อาจเป็นเหตุใกล้ให้เกิดทั้งโมหะและปัญญา
5.การเจริญสติที่อยู่กับปัจจุบันได้นานๆ อาจจะเรียกว่า”นิโรธ”ก็ได้
คือความทุกข์ดับทุกๆขณะ เมื่อมีสติทุกครั้ง
บางทีคนเรามัวแสวงหาแต่ปัจจัยสี่ มาเลี้ยงกายแต่ไม่ได้แสวงหาอริยสัจสี่ มาเลี้ยงจิตใจตนเอง ด้วยวิธีง่ายๆ คือศึกษาให้รู้จักดึงกายกับใจมาอยู่ด้วยกันเท่านั้น หากทำได้บ่อยๆ ก็กลับกลายเป็นเรื่องง่ายๆ แต่คนเราคุ้นเคยแต่คิดถึงอดีต กับอนาคตจนชิน (จนลืมคิดถึงปัจจุบัน)
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

การเกิดแก่เจ็บตายของจิต เกิดจากจิตเราตายจากปัจจุบันเท่านั้นเอง

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ผู้ไม่ได้ฝึกสติจะเกิดช่องว่างระหว่างกายกับจิตแทบตลอดเวลา หากฝึกสติแล้วจะไม่มีช่องว่างระหว่างกายกับจิต จิตย่อมอยู่เหนือกาลเวลาเรียก อกาลิโก

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ความทุกข์เกิดเพราะกายกับใจไม่อยู่ด้วยกัน จึงไม่สามารถจัดการกับความทุกข์ที่เกิดกับจิตได้ คือยังไม่พบทางแห่งการฝึกสติเพื่อการดับทุกข์นั่นเอง

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

รูปแบบที่ไม่ตายตัว

รูปแบบวิธีการของหลวงพ่อเทียน
ไม่ใช่รูปแบบที่ตายตัว
มัน flexible (คล่องตัว,พลิกแพลง,ยืดหยุ่น) ได้
เพราะนําไปประยุกต์ได้ในทุกเรื่อง
 
นั่งสร้างจังหวะกับล้างแก้ว
เคลื่อนไหวไม่ต่างกัน
 
เดินไปตรงโน้นตรงนี้
กับเดินจงกรมกลับไปกลับมา
การเคลื่อนไหวเหมือนกัน
 
สาระไม่ได้ต่าง แต่ต่างที่ความรู้สึก
ที่ใส่เข้าไป มันจะแยกตรงนั้น
 
ระหว่างเดินทําโน่นนี่กับเดินจงกรม
เดินจงกรมได้ใส่ตัวรู้เข้าไปอย่างเต็มที่
แต่เป็นไปได้ไหมว่า
เราจะฝึกฝนให้เป็นสาระเดียวกัน
เดินไปจับแก้ว ใส่ความรู้เข้าไปที่ฝ่าเท้า
ใส่ความรู้สึกไปที่มือกําลังจับ
ตรงนั้นคือความสําคัญ
 
ความสําคัญมันอยู่ตรงนั้นว่า
เราจะเปลี่ยนสาระที่จิตของเรา
เคยล่องลอยไปกับอดีตบ้าง อนาคตบ้าง
ให้มาอยู่กับปัจจุบันอย่างรวดเร็ว
 
เพราะฉะนั้นเรามาฝึกกันนี่
เพื่อตอกย้ำความเป็นปัจจุบัน
ของจิตให้มันเข้มแข็ง
 
เมื่อมันเข้มแข็งแล้ว
เวลาเราต้องการทําอะไรมันมาไว
จิตกับกายมันจะรวมกันไว
โดยอาศัยการตอกย้ำตัวกําลัง
ของสติสัมปชัญญะให้มีกําลัง

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

เบื้องหลังการเคลื่อนไหว

พระพุทธเจ้าทรงแสดงวิถีทางสู่ความไม่ทุกข์
ด้วยการเจริญสติ ระลึกรู้
อยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน
และให้ระลึกรู้เมื่อความรู้สึกนึกคิดผุดขึ้นมา
โดยมีเคล็ดลับว่า
ให้รู้เฉยๆ ในสิ่งที่กำลังแสดงตัว
โดยไม่ต้องไปทำอะไร
 
เวลากายเคลื่อนไหว ถ้าเรารู้เฉยๆ
การเคลื่อนไหวก็เป็นเพียงกิริยา
เป็นเพียงอาการ ไม่มีเราเป็นผู้ทำ
ไม่มีเราเป็นผู้รับกรรม
 
เวลานั่งนานๆ เกิดความปวดเมื่อย
เราเห็นอาการที่เกิดขึ้น
เห็นแล้วสมควรบำบัด ก็บำบัด
 
แต่ถ้าเราไม่ยอมรู้เฉยๆ
เวลากายเจ็บ กายปวด
จะมีเราเป็นผู้อึดอัด ขัดเคือง
มีเราเป็นผู้ทุกข์ทันที
 
เวลามีความนึกคิด หรืออารมณ์
ถ้าเรารู้เฉยๆ ความนึกคิดอารมณ์
ก็เป็นเพียงอาการของจิต
ที่วูบไหวขึ้นมาแล้วดับไป
 
แต่ถ้าเราไม่ยอมรู้เฉยๆ
เราจะเข้าไปในเรื่องที่คิด
แล้วก็จะเป็นสุขเป็นทุกข์กับมันทันที
 
จงฝึกจิตให้คุ้นเคยกับสภาพการรู้เปล่าๆนี้ไว้
รูปเคลื่อนไหว นามปรากฏ เราก็รู้เฉยๆ
 
ถ้าเรารู้สึกตัวเป็นแล้ว
ความรู้สึกตัวจะถอยออกมา
เป็นผู้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา ของกายและใจ
 
เห็นบ่อยเข้า ๆ ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย
คลายความยึดมั่นถือมั่น และปล่อยวาง
สู่ความไม่ทุกข์ ในที่สุด

รู้เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร

พระพุทธเจ้าทรงแสดงวิถีทางสู่ความไม่ทุกข์ ด้วยการเจริญสติ ระลึกรู้อยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน และให้ระลึกรู้เมื่อความรู้สึกนึกคิดผุดขึ้นมา โดยมีเคล็ดลับว่า ให้รู้เฉยๆ ในสิ่งที่กำลังแสดงตัวโดยไม่ต้องไปทำอะไร

เวลากายเคลื่อนไหว ถ้าเรารู้เฉยๆ การเคลื่อนไหวก็เป็นเพียงกิริยา เป็นเพียงอาการ ไม่มีเราเป็นผู้ทำ ไม่มีเราเป็นผู้รับกรรม
เวลานั่งนานๆ เกิดความปวดเมื่อย เราเห็นอาการที่เกิดขึ้น เห็นแล้วสมควรบำบัด ก็บำบัด แต่ถ้าเราไม่ยอมรู้เฉยๆ เวลากายเจ็บ กายปวด จะมีเราเป็นผู้อึดอัด ขัดเคือง มีเราเป็นผู้ทุกข์ทันที
เวลามีความนึกคิด หรืออารมณ์ ถ้าเรารู้เฉยๆ ความนึกคิดอารมณ์ ก็เป็นเพียงอาการของจิตที่วูบไหวขึ้นมาแล้วดับไป แต่ถ้าเราไม่ยอมรู้เฉยๆ เราจะเข้าไปในเรื่องที่คิด แล้วก็จะเป็นสุขเป็นทุกข์กับมันทันที
จงฝึกจิตให้คุ้นเคยกับสภาพการรู้เปล่าๆนี้ไว้ รูปเคลื่อนไหว นามปรากฏ เราก็รู้เฉยๆ ถ้าเรารู้สึกตัวเป็นแล้ว ความรู้สึกตัวจะถอยออกมาเป็นผู้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ของกายและใจ เห็นบ่อยเข้า ๆ ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย คลายความยึดมั่นถือมั่น และปล่อยวาง สู่ความไม่ทุกข์ ในที่สุด

ธรรมใด๑-๑๒

ตามดูกายเคลื่อนไหว ตามรู้ใจคิดนึก

จำวิธีปฏิบัติไว้ง่ายๆว่า
“ตามดูกายเคลื่อนไหว ตามรู้ใจคิดนึก”
 
จิตเคลื่อนไหว เรียกว่า ใจนึกคิด
แต่มันเคลื่อนไหวด้วยความถี่สูง
ไม่สามารถจะตามกำหนดรู้มันได้ง่าย
 
ลำพังสติที่เป็นสัญชาตญาณ
ไม่สามารถตามรู้ จับจิตได้ทัน
เราต้องฝึกสติ ให้มีกำลังสูงขึ้น
อีกระดับหนึ่ง เรียกว่า สติปัฏฐาน
 
เพื่อเพิ่มกำลังและความเร็วของสติ
ให้มีความถี่สูงเท่ากับจิต
เพื่อให้สามารถตามดึงจิตกลับมาได้
 
เราต้องฝึกฝนใช้การเคลื่อนไหวกายนี้
มาแปลงเป็นพลัง เป็นกำลังของสติ
เพื่อให้มีความว่องไว และมีความแม่นยำสูง
 
เราไม่ใช้การฝึกสติกับลมหายใจเข้า หายใจออก
เพราะมันเป็นความรู้สึกตัวที่อ่อนแอ
และเบาบางเกินไป
 
ถ้าเรานั่งกำหนดรู้ลมหายใจนานๆ
ลมหายใจจะแผ่วเบาลงเรื่อยๆ
จนรู้สึกตัวไม่ได้
 
จิตก็จะขาดกำลังสติสัมปชัญญะที่ชัดเจน
ขาดกำลังสติประคับประคอง
จิตก็จะหยุดนิ่ง
ดิ่งสู่การเคลิ้มหลับโดยอัตโนมัติ
ดับดิ่งเข้าสู่ภวังค์ได้ง่าย
เป็นเหตุใกล้ให้เกิดนิวรณ์ระดับต่างๆ
พระพุทธยานันทภิกขุ