ช่างสีผู้ขยัน

ช่างสีผู้ขยัน

ตราบใดที่ยังไม่ทำสติแบบต่อเนื่องจริงๆ จะเห็นความคิดไม่ได้ทั้งหมด ต้องเจริญสติต่อเนื่องไปจนกว่าจะเห็นปรมัตถ์ จึงจะเข้าใจมันได้ทั้งหมด เหมือนนักวาดเขียน เขาใช้แม่สีแค่ห้าสี แต่สามารถวาดภาพได้ ออกมาเป็นสีต่างๆ จนนับไม่ถ้วนฉันใด ความคิดก็ฉันนั้น มีกลไกอยู่แค่ขันธ์ห้าหรือเบญจธันธ์เท่านั้น แต้ด้วยอำนาจของช่างสี คืออวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม จึงสามารถสร้างเรื่องราวต่างๆ จนนับไม่ถ้วนในแต่ละวัน ตราบใดที่คุณยังหยุดบทบาทการวาดของช่างสี คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทานไม่ได้ คุณไม่อาจหยุดการทำงานของความคิดได้เลย เว้นแต่คุณจะสามารถเจือจางสีต่างๆ ด้วยน้ำ จนสีหมดสภาพ ช่างสีจะวาดภาพไม่ได้อีกต่อไป ฉันใด ผู้หวังหมดทุกข์ ก็ทำเช่นเดียวกันคือ เจริญสติสัมปชัญญะคือตัวรู้สึกตัวทั่วพร้อมไปเรื่อยๆ เหมือนเจือน้ำเปล่าลงในถังสีไปเรื่อยๆ จนน้ำเปล่ามากกว่าสี ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล

 

รดน้ำจิตใจให้งอกงาม

ขออนุโมทนาอีกก้าวของความรู้สึกตัว การไปเข้ารีทรีท เหมือนได้มีโอกาสรดน้ำต้นไม้อีก รู้สึกสดชื่นไปอีกหลายวัน พอนานวันเข้า เราประมาทว่างานเยอะอีก แต่ความจริงงานไม่ได้เยอะ งานจะเยอะเท่าไร การเคลื่อนไหวก็มีเท่าเดิมใช่ไหม? คือการเคลื่อนไหวของรูปกับนามเท่านั้น แต่ใจส่งออกเยอะเกินไปต่างหาก เมื่อใจวิ่งออกจากกายเมื่อไร ก็เสมือน น้ำระเหยเหืออแห้งออกจากแปลงผักเมื่อนั้น. แล้วเราก็เหี่ยวเฉา วิ่งหาคนช่วยรดน้ำอีก เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง แล้วเราทำไมไม่ขยันรดน้ำทุกวันละ? รดทุก เช้า เย็น แต่จะให้ดี ต้องติดระบบออโต้สปริงเกอร์ไปเลย คือตามรู้ตัวตลอดเวลานั้นเอง

 

กัลยาณมิตรผู้รู้จริง จะพาเราออกจากคุกได้

วัฏสงสารยืนยาวนานสำหัรบผู้ไม่รู้ธรรม สรรพชีวิตไม่ว่าชาติศาสนาใดก็ตาม จะเป็นพุทธหรือไม่ก็ตาม ก็เป็นไปตามกฎของสังสารวัฏ ผู้ที่ได้เกิดในซีกโลกของวัตถุนิยม ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในโลกของวัตถุนิยม ผู้ที่เกิดในโลกของจิตตนิยม ก็จะเวียนว่ายในโลกของจิตตนิยม แบบไม่รู้สิ้นสุดอีกเหมือนกัน จนกว่าจะได้พบกับคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธะ ได้พบกับกับกัลยาณมิตร ผู้รู้แจ้งเห็นจริง นำทางเราไปทางถูก เปิดดวงตาสัมมาทิฐิให้เราได้ และเราเองก็มีศรัทธา และปัญญาพร้อมที่จะเข้าใจคำสอนของท่านได้ นั้นแหละ เราถึงจะพบกับธรรมนิยม หรือทางสายกลาง คือไม่สุดโต่งไปทางวัตถุและทางจิต เราถึงจะมีโอกาสได้พบต้นทางของอริยมรรค อันเป็นทางเดินไปสู่พระนิพพาน อันเป็นทางสายสิ้นสุดของวัฏสงสาร

เจริญสติให้เป็นศีล

สติจะแปลสภาวะเป็นมหาศีล ซึ่งมีพลังและจำนวนมากกว่า ท่านใช้คำบาลีว่า “ภาวิตา พหุลีกตา” สติย่อมทำให้จิตใจงอกงามมาก เมื่อทำให้มากเจริญให้มากๆ เข้าแล้ว ศีลคือสตินี้ จะสามารถนำมาใช้งานได้เลย และถ้าเจริญสติจนเป็นศีลแล้ว มันจะทำให้เกิดปัญญาทุกๆ ครั้ง คำว่าเป็นศีลคือทำให้เป็นปกติประจำวันของชีวิต

ความประมาทคืออวิชชา

ความประมาท
เป็นบทเรียนเก่าๆ
ที่ทุกคนท่องได้ขึ้นใจ

แต่ถ้าไม่เริ่มเจริญภาวนา
อย่างถูกต้อง
ก็จะไม่เกิดปัญญา
ที่สามารถหลีกเลี่ยง
ความประมาทได้เลย

เพราะความประมาท
เป็นอีกชื่อหนึ่งของอวิชชา
ตัณหา อุปาทาน กรรม

ตราบใดยังมีกิเลสสี่ตระกูลนี้อยู่
ต่อให้เทพชั้นใด
ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ความประมาทได้เลย

 

 

ความโกรธคือไฟนรก

เพื่อเงิน แลความโลภเพียงตัวเดียว
ก็สามารถเปลี่ยนใจมนุษย์
ที่มีแขนขาดี มีอวันยวะครบทุกส่วน
กลับกลายเป็นคนพิการ
เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย
เดรัจฉานไปได้
 
การไปสู่อบายภูมิสี่ของจริง
ไม่ต้องรอชาติหน้า
เราเริ่มเดินไปที่ตรงนั้นอยู่แล้ว
 
ด้วยจิตใจที่มี
ความโลภคือเปรต
ความโกรธคือสัตว์นรก
ความหลง คืออสูญ และเดรัจฉาน
 
เราสามารถเห็นได้ในชาตินี้เลย
ท่านจะกลัวนรกขนาดไหน
ก็ต้องได้ไป
 
เพราะทางไปนรก
ก็เกิดจากความโกรธของเรานี่เอง
 
ถ้าท่านไม่กลัวความโกรธของตัวเอง
ก็หนีนรกไม่พ้น
เหมือนไฟไหม้บ้านทั้งหลัง
ก็เกิดจากไม้ขีด หรือไฟฟ้าเส้นเดียวเท่านั้น

พระพุทธยานันทภิกขุ