คำสอนของหลวงพ่อชา สุภัทโท

หลวงพ่อชา

หยุดชั่วมันก็ดี

คนเราบางคน บางทีก็อยากจะเอาบุญ
เช่น ผ้ายังสกปรกอยู่…ยังไม่ได้ทำความสะอาด
แต่อยากจะย้อมสีซะแล้ว
ลองเอาผ้าเช็ดเท้าที่ยังไม่ได้ฟอกไปย้อมสีดูซิ…มันจะสวยไหม ?
 
การไม่กระทำบาปนั้น…มันเลิศที่สุด
บางคนบางคราว โจรมันก็ให้ได้ มันก็แจกได้
แต่ว่าจะพยายามสอนให้มันหยุดเป็นโจรนั่นนะ มันยากที่สุด
 
การจะละความชั่ว ไม่กระทำผิด…มันยาก
“การทำบุญ” โจรมันก็ทำได้ มันเป็น…”ปลายเหตุ”
“การไม่กระทำบาป” ทั้งหลายทั้งปวงนั้นนะ เป็น…”ต้นเหตุ”
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

อารมณ์ไม่ใช่จิต

ความจริงจิตนี้ไม่มีอะไรมันเป็นประภัสสรของมันอยู่อย่างนี้ ตัวจิตแท้ ๆ ไม่มีอะไรเป็นธรรมชาติอยู่เฉย ๆ เท่านั้น ที่สงบไม่สงบก็เป็นเพราะอารมณ์มาหลอกลวง

ความดีใจเสียใจนั้นเป็นอารมณ์มิใช่จิต จิตหลงอารมณ์โดยไม่รู้ตัวแล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์

เพราะยังไม่ได้ฝึก ยังไม่ฉลาด เราก็นึกว่าจิตเป็นทุกข์นึกว่าจิตเราสบาย ความจริงมันหลงอารมณ์

จิตของเรามันมีความสงบอยู่เฉย ๆ มีความสงบนิ่งเหมือนกับใบไม้ที่ไม่มีลมมาพัด ก็อยู่เฉย ๆ ถ้ามีลมมาพัด ก็กวัดแกว่ง เป็นเพราะลมมาพัดและก็เป็นเพราะอารมณ์มันหลงอารมณ์

ถ้าจิตไม่หลงแล้วจิตไม่กวัดแกว่งถ้ารู้เท่าอารมณ์แล้วมันก็เฉย เรียกว่าปกติของจิต

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

แบกหนัก ปล่อยเบา

อุปมาเหมือนเราแบกก้อนหินหนักอยู่ก้อนหนึ่ง
แบกไปก็รู้สึกหนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน
ก็ได้แต่แบกอยู่นั่นแหละ

พอมีใครบอกว่าให้โยนมันทิ้งเสียซิ
ก็มาคิดอีกแหละว่า
เอ๊ะ! ถ้าเราโยนมันทิ้งเสียแล้ว
เราก็ไม่มีอะไรเหลือน่ะซิ ก็เลยแบกอยู่นั่นแหละ
ไม่ยอมทิ้งถึงจะมีใครบอกว่า โยนทิ้งไปเถอะ
แล้วจะดีอย่างนั้น เป็นประโยชน์อย่างนี้

เราก็ยังไม่ยอมโยนทิ้งอยู่นั่นแหละ
เพราะกลัวแต่ว่าจะไม่มีอะไรเหลือ
ก็เลยแบกก้อนหินหนักไว้
จนเหนื่อยอ่อนเพลียเต็มทีจนแบกไม่ไหวแล้ว
ก็เลยปล่อยมันตกลง

ตอนที่ปล่อยมันตกลงนี่แหละ
ก็จะเกิดความรู้เรื่อง การปล่อยวาง ขึ้นมาเลย
เราจะรู้สึกสบายแล้วก็รู้สึกได้ด้วยตนเอง
ว่าการแบกก้อนหินนั้นมันหนั

แต่ตอนที่เราแบกอยู่นั้นเราไม่รู้หรอกว่า
การปล่อยวาง มันมีประโยชน์เพียงใด

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ หลวงพ่อชา สุภัทโท

เห็นโทษแล้วจึงไม่อยากทำ

บางคนที่เรียกว่ายังไม่บรรลุธรรมก็คือยังไม่รู้จักธรรมนั่นแหละ เช่นบางคนก็กินเหล้าเมายา เห็นว่ามันดีเป็นของเลิศของประเสริฐ เมื่อมาฟังธรรมะก็บรรลุเข้าถึงธรรมหยุดกินเหล้าหยุดฆ่าสัตว์ ศัพท์ว่าการบรรลุธรรมมันคิดว่าสูง ที่จริงแล้วคำว่า บรรลุธรรมนั้นก็คือเข้าไปถึงธรรมะนั่นเอง อย่างเราทุกคนที่มาวัดหนองป่าพงนี้ เดินทางมาถึงวัดหนองป่าพงก็เรียกว่าบรรลุถึงวัดหนองป่าพง คนบรรลุธรรมะก็อย่างเดียวกั
ผู้บรรลุธรรมนั้นคล้ายกับว่าเรามองเห็นงูเห่าที่มันเลื้อยไป เราก็รู้ว่างูนั้นมันเป็นอสรพิษ ถ้ามันกัดใครมันจะถึงตายหรือเจียนตาย อันนี้เรียกว่าเรารู้ในงูเห่าตามความเป็นจริง ก็ไม่กล้าไปจับงูนั้น ใครจะบอกอย่างไรก็ไม่กล้าจับ คือเราบรรลุถึงพิษของมัน ความชั่วทั้งหลายก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นโทษของมันก็ไม่อยากทำ ขอให้เราปฏิบัติไปพิจารณาไป มันจะถอนของมันเอง

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ หลวงพ่อชา สุภัทโท

กวาดใจให้สะอาด

ฉะนั้นข้อวัตรปฏิบัตินี้เพื่อให้เข้าไปรู้
ไปเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
มันก็เป็นคล้ายๆ พื้นฐาน

อย่างเราจะปลูกอาคารสักหลังหนึ่ง
มันมีข้างบนสองชั้นสามชั้น
มันก็อยู่ข้างบนโน่น

แต่พื้นฐานก็คือตัววางรากฐานนี้เอง
มันจะทรงตัวมันอยู่ได้
ก็เพราะรากฐานของมันมั่นคง

ข้อวัตรทั้งหลายมีกำลังมาก
ที่ไหนในวัดที่จะทำได้
ไม่ว่าจะเป็นในกุฏิของเรา ในกุฏิคนอื่นก็ดี
ที่มันสกปรกรกรุงรังทำเลย

ไม่ต้องทำให้ใคร
ไม่ต้องทำเอาหน้าเอาตาจากใคร
ทำเพื่อข้อปฏิบัติของเรา

กวาดกุฏิ กวาดเสนาสนะให้มันสะอาด
ถ้าเราทำเช่นนี้
เหมือนเรากวาดของสกปรก
ออกจากใจของเรา

เพราะเราเป็นผู้ปฏิบัติ
อันนี้ให้มันมีอยู่ในใจของพวกเราทุกคน
ความสามัคคีนั้นไม่ต้องเรียกร้องหรอก เป็นเลย

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ Buddhism หลวงพ่อชา สุภัทโท

ชาติหน้ามีจริงหรือไม่?

โยม “ชาติหน้ามีจริงไหมครับ?”
หลวงปู่ชา “ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?”
โยม “เชื่อครับ”
หลวงปู่ชา “ถ้าเชื่อคุณก็โง่”

คำพูดดังกล่าวของหลวงปู่เล่นเอาคนถามงง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ซึ่งหลวงปู่ชา ได้อธิบายไว้ว่า….

หลายคนถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วจะเชื่อไหม ถ้าเชื่อก็โง่ เพราะอะไร? ก็เพราะมันไม่มีหลักฐานพยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป

ทีนี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามีพาผมไปดูหน่อยได้ไหม เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด

ทีนี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม ถ้ามีพาไปดูได้ไหม อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี แต่สิ่งนี้มันเป็นของที่จะหยิบยกมาเป็นวัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้

ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่า ชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา

หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้เรื่องราวของตนเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร นี้คือสิ่งที่เราต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ

ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวานเสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน เท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง”

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ Buddhism Vipassana วิปัสสนา ศาสนาพุทธ หลวงพ่อชา

จำเป็นไหมที่จะต้องนั่งภาวนาให้นานๆ

ไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนานาน
นับเป็นหลายๆ ชั่วโมง

บางคนคิดว่ายิ่งนั่งภาวนานานเท่าใด
ก็จะยิ่ง เกิดปัญญามากเท่านั้น
ผมเคยเห็นไก่กกอยู่ในรังของมัน
ทั้งวันนับเป็นวันๆ

ปัญญาที่แท้เกิดจากการที่เรา
มีสติในทุกๆ อิริยาบถ
การฝึกปฏิบัติของท่านต้องเริ่มขึ้นทันที
ที่ท่านตื่นนอนตอนเช้า

และต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องไป
จนกระทั่งนอนหลับไป

อย่าไปห่วงว่าท่านต้องนั่งภาวนาให้นานๆ
สิ่งสำคัญก็คือท่านเพียงแต่เฝ้าดู
ไม่ว่าท่านจะเดินอยู่ หรือนั่งอยู่
หรือกำลังเข้าห้องน้ำอยู่

หลวงพ่อชา สุภัทโท
f: Dynamic Meditation (นวัตกรรมแห่งสติ)