พระธรรมเทศนา ธรรมวิจัยในรูปนาม

ธรรมวิจัยในรูปนาม

จากไฟล์เสียงชุด ครุสติรัทรีท ๑๑-๑๗ สิงหาคม ๕๙ แสดงธรรมโดย พระพุทธยานันทภิกขุ, หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท, Deva Nanda, Direk Saksith

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

พระถูกหลอก

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมครั้งแรก
มีพระเข้าใจรูปเดียว มีพระฟังห้ารูป
ทั้งๆ ที่อยู่กับพระพุทธเจ้ามานานแล้ว

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ
พระนักเทศน์ พระนักสอนทั่วไป
เข้าใจผิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูด
คนจะเข้าใจหมด

คนที่ปฏิบัติธรรม
ฟังธรรมมาตลอดชีวิต
ชีวิตไม่เปลี่ยนแปลง
เพราะองค์ประกอบห้าอย่างไม่ครบ
ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

หนึ่ง ศรัทธา ความเชื่อมั่น ความอยากจะศึกษา
ความรักที่จะศึกษาในสิ่งที่เข้ามา ไม่พอ

สอง ถ้าเกิดความเชื่อมั่นแล้ว
ความเพียรที่จะลงมือทำน้อย

สาม ลงมือทำแล้ว
ที่จะปะกอบด้วยสติ สมาธิ ปัญญา
ก็ลดน้อยลงไปอีก

พระทั่วไปก็เหมือนถูกหลอก
ทุกวันนี้คนตั้งใจฟังดีมาก
พอไปสอบเข้าจริงๆ แล้ว
เหลือไม่กี่เปอร์เซ็นต์

หลวงพ่อก็ต้องตรวจสอบ
ไม่งั้นก็เหนื่อยตาย

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ฟังอย่างมีศรัทธา

เราจะเทน้ำลงขวดอย่างไร
ที่น้ำจะเต็มโดยไม่กระฉอก
ขวดตั้งหรือขวดนอน
ขวดเปิดฝาหรือไม่

คนรินตั้งใจริน แต่ไม่ได้ดูขวด
ว่าขวดตั้งอยู่หรือเปล่า
ขวดเปิดฝาหรือสะอาดเปล่า
ไม่ได้ดู

ผู้เสนอตั้งใจนำเสนอร้อยเปอร์เซ็นต์
เหมือนตั้งใจรินน้ำลงขวด
แต่ไม่รู้ว่าผู้ฟังตั้งใจฟังหรือเปล่า
เขาเปิดใจหรือเปล่า
เขาพอใจที่จะฟังหรือเปล่า
ผู้พูดไม่ได้สำรวจ

เมื่อพูดไปแล้ว ทำความเข้าใจไปแล้ว
ในหนึ่งร้อยหวังแค่ห้าคนก็คงยาก

แต่ถ้าสิบคน ยี่สิบคนขึ้นไป
หมายความว่าตัวผู้พูดเป็นที่ตั้งของศรัทธา
ตัวผู้ฟังก็มีปัญญา
ก็จะมีจำนวนมากขึ้น

แต่ถ้าตัวผู้พูดไม่เป็นที่ตั้งของศรัทธา
ตัวผู้ฟังยังไม่เกิดศรัทธา ไม่เกิดปัญญา
ผลก็ยิ่งน้อยเกินไป

อันนี้คือส่วนหนึ่ง
เราไม่ได้หวังว่าทุกคนจะเข้าใจ
แต่อย่างน้อยคือมีโอกาส
ก็สร้างโอกาสให้ได้มานั่งฟัง
สร้างโอกาสให้มาฟัง

อาจจะรินเข้าทีละนิดก็ไม่เป็นไร
รินหลายๆ ครั้ง อาจจะเข้า

ศรัทธาเกิดขึ้นไม่ใช่ของง่ายเลย
ศรัทธาในการที่จะฟัง
ศรัทธาในการที่จะศึกษา

ดังที่หลวงพ่อเสนอว่าลองเดินรอบห้อง
และนับลมหายใจเข้า ได้กี่รอบ
แต่ละรอบหายใจเข้าให้ลึกที่สุด
หายใจออกให้ยาวที่สุด

ในห้าสิบคน จะตั้งใจทำจริงๆ ไม่ถึงห้าคน
อันนี้เป็นสัจธรรม เราต้องเข้าใจ
โอกาสของคนเราไม่เหมือนกัน

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

แยกรูปนามเพื่อความพ้นทุกข์

หลวงพ่อจะทบทวนเรื่องรูปนามอีกครั้งหนึ่ง
อยากจะถามว่ารูปนามทำให้เกิดความทุกข์
ปัญหาของมันเองหรือคนอื่นสร้างให้
หรือเราเป็นผู้สร้าง
หรือเรากับคนอื่นร่วมกันสร้าง

รุปนามคือกายใจของเรา
มีความทุกข์และปัญหาเกิดขึ้น
บางครั้งบางคราวหรือตลอดเวลา

เราต้องแยกกันตอบ
รูปเกิดปัญหาโดยบางครั้ง หรือตลอดเวลา?
ตลอดเวลา…
เพราะมันเป็นกฎของไตรลักษณ์

นามเกิดปัญหาขึ้นบางครั้ง หรือตลอดเวลา?
บางครั้ง…
เมื่อใดนามประกอบด้วยรูป
เกิดปัญหาตลอดเวลา
แต่เมื่อใดนามเป็นอิสระ ตัวของมันเองล้วนๆ
ปัญหาก็ไม่เกิด

แต่เมื่อใดเผลอ รูปเข้าไปในนาม เป็นนามรูป
ปัญหาก็เกิด แต่พอเรามีสติปัญญา
แยกรูปออกมาจากนามได้
ปัญหาก็ดับ

เรารู้ว่าตัวรูปคือตัวปัญหา
โดยตัวของมันเอง
เพราะมันเป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์

ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ
การที่จะพ้นทุกข์ได้มีทางเดียว
คือจะต้องแยกรูปออกจากนามให้ได้
แล้วรูปจะเข้าไม่ถึงนาม เรียกว่าพ้นทุกข์

ความพยายามของเราคือจุดนั้น
จุดที่จะแยกรูปออกจากนาม
เอาอะไรมาแยก

ร้านตัดกระจกใช้เพชรตัดกระจก
เพราะมันคมกว่ากระจก
เวลากรีด เราไม่เห็นรอยตัด

แต่เราจะรู้ว่ากระจกขาด
ต่อเมื่อเราไปกดออกมา
วัตถุ ยังละเอียดขนาดนั้น
แต่อันนี้คือนามธรรม

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

แยกรูปนามแบบสมถะหรือวิปัสสนา

ถ้าเราเอานมมาแก้วหนึ่ง
ในนมหนึ่งแก้วมีน้ำใสอยู่กี่เปอร์เซ็นต์

ตัวนมจริงๆ เป็นผง
ถ้าไปกลั่นเอาน้ำออกมา
นมก็จะข้นลงๆ ในที่สุด
เอาไปเคี่ยวแล้วตากแดด ก็เหลือแต่ผง

น้ำใสๆ คือนาม
ตัวขุ่นๆ คือรูป
การที่จะแยกนมออกจากน้ำ
มีขบวนการคือกลั่น หรือไปตากให้มันแห้ง

ถ้าเอาไปตากให้มันแห้งเหลือแต่ผงนม
ก็ใช้เวลานานหน่อย
แต่พอไปกลั่นก็ใช้เวลาเร็วขึ้น

ระบบการแยกรูปแยกนามจึงมีสองระบบ

ระบบสมถะ เหมือนนำนมไปตากแดดให้น้ำแห้ง
มันจะแห้งวันไหนก็ไม่รู้ แต่ตากไว้อย่างนั้น

ระบบวิปัสสนา เหมือนนำนมไปกลั่น
กำหนดเวลาได้เลยว่า
น้ำเดือดขนาดนี้ใช้เวลาชั่วโมงเดียวหรือสองชั่วโมง
น้ำถึงจะแห้ง แล้วนำไปตากแดดอีก

แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปตากแดดให้ลำบาก
พอมันงวดเหลือแต่นม
นำเข้าตู้อบ หรือไมโครเวฟ
ไม่นานก็เหลือแต่นมแห้งๆ เป็นผง
กำหนดเวลาได้

พระพุทธเจ้าจึงมั่นใจในสูตรของท่าน
ถ้าคนไหนทำตามสูตรที่ท่านตรัสรู้แล้ว
อย่างช้าที่สุดไม่เกินเจ็ดปี
อย่างเร็วที่สุดไม่เกินเจ็ดวัน
ถ้าท่านไม่มั่นใจขนาดนั้น
ท่านไม่กล้ารับประกันเวลา

ดังนั้นระบบวิปัสสนาเราประกันได้ว่า
เมื่อนำนมกับน้ำไปต้ม
เราจะให้แห้งได้ในเวลาเท่าไรกำหนดได้
และเราจะเอานมที่แห้งจากน้ำ
ไปใส่ตู้อบหรือไมโครเวฟ
ให้มันแห้งในเวลาเท่าไร กำหนดได้

แต่ถ้าเอาไปตากแดดให้มันแห้ง
โดยอำนาจของแดด กำหนดเวลาไม่ได้
ไม่รู้ว่าวันไหนมันจะแห้ง

บางวันมีแดด บางวันไม่มีแดด
บางวันแดดจ้า บางวันแดดอ่อน
บางวันฝนตก ไม่สามารถควบคุมเงื่อนไขได้
แต่วิปัสสนานั้น ควบคุมเงื่อนไขได้

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ธาตุเกิดและธาตุดับ

ย้อนไปที่รูปกับนาม
รูปเป็นส่วนที่เกิดปัญหา
โดยตัวของมันเอง
จึงเกิดปัญหาตลอดเวลา

ปัญหาหรือความทุกข์ที่เกิด
๑. เกิดด้วยตัวของมันเองแน่นอน
๒. เราไม่รู้การเกิดของมัน
๓. เรารู้การเกิดของมัน
๔. เราเป็นผู้สร้างมันขึ้น
๕. ผู้อื่นเป็นผู้สร้างขึ้น
๖. เรากับผู้อื่นร่วมกันสร้างขึ้น
นี่เฉพาะเงื่อนไขของรูป

มาดูว่า ถ้าเราเป็นผู้สร้างขึ้น
เรารู้ว่าปัญหาต้องเกิด

ทุกปัญหาเป็นกลาง เป็นพลังอย่างหนึ่ง
เหมือนไฟกับน้ำ ยังไม่เป็นตัวให้เราทุกข์
แต่มันเป็นกำลัง

ในร่างกายของเรา
ถ้าไม่มีความทุกข์ ไม่มีความหนัก ความหน่วง
เราก็อยู่ไม่ได้

มันจะมีธาตุเกิดและธาตุดับอยู่ในตัว
ธาตุเกิดคือความร้อน ได้แก่ธาตุไฟและธาตุดิน
ธาตุดับคือธาตุน้ำและธาตุลม
เพราะฉะนั้นธาตุสี่จะมีการดับและเกิด
ในตัวของมันเอง

ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ผสมผสานกัน
เราแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นธาตุหนัก
อันไหนเป็นธาตุเบา เป็นรายละเอียดของมัน

ถ้าร่างกายไม่มีธาตุไฟและธาตุดิน
ก็จะไม่เป็นร่างกาย

แต่ถ้ามีแต่ธาตุดินกับธาตุไฟ
ไม่มีธาตุน้ำกับธาตุลม
ก็จะไม่เป็นรูปอันนี้เหมือนกัน

ดังนั้นในตัวดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เป็นรูป
จึงสร้างการเกิดดับ
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
ธาตุสี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์
เมื่อมันมาสมดุลเป็นปาฏิหาริย์

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

สัญชาตญาณคือพลังดิบ

เมื่อธาตุสี่สมดุลกันพอดี
ก่อให้เกิดพลังดิน น้ำ ลม ไฟ

เมื่อดิน น้ำ ลม ไฟ สมดุลกันพอดี
ก่อให้เกิดพลังสองอย่าง
เรียกว่าอากาศธาตุ คือออกซิเจน
และวิญญาณธาตุ คือธาตุรู้

ธาตุรู้นี้เป็นพลังสุดยอดของสิ่งมีชีวิต
โดยการรวมตัวของธาตุสี่

เมื่อเรามาปฏิบัติ เราจะดูแลธาตุสี่
ด้วยการใช้ตัววิญญาณธาตุ

วิญญาณธาตุที่เกิดขึ้นในธาตุสี่และขันธ์ห้า
ก็เป็นวิญญาณที่เป็นพลังรู้อันหนึ่ง
พลังรู้ที่เกิดโดยธาตุสี่ขันธ์ห้า
พลังรู้นี้เป็นพลังดิบ
พลังรู้ที่ดิบ เราเรียกว่าสัญชาตญาณ

เมื่อเป็นพลังดิบอยู่
เราเอามาใช้แยกรูปแยกนามไม่ได้
เพราะรายละเอียดไม่พอ

เหมือนพลังดิบเช่น เทียนไข ตะเกียง
จุดไต้ จุดไฟ จุดฟืน มันเป็นพลังดิบ
ความร้อนแรง ความคมชัด
ไม่พอที่จะมาบัดกรี มาตัดเหล็ก
มาใช้กับเครื่องอีเล็กโทรนิกทั้งหลาย

ก็เอาพลังดิบนี้มาผ่านขบวนการ
ขบวนการคือกระแสไฟฟ้า โดยพลังความร้อน
แล้วเพิ่มพลังขึ้นมา สามารถนำไปบัดกรีได้
ตัดเหล็กได้ เปลี่ยนสภาวะร้อนให้เป็นเย็น
เย็นให้เป็นร้อนได้ เปลี่ยนสภาวะมืดให้เป็นสว่าง
สว่างให้เป็นมืดได้ ต้องเอามาพัฒนา

ฉันใดก็ดี ตัวรู้สึกตัวที่เป็นพลังดิบ
เราเรียกว่าสัญชาตญาณ
สัญชาตญาณนี้พัฒนามาจากตัววิญญาณ
วิญญาณนี้พัฒนามาจากธาตุสี่

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ขบวนการแยกรูปแยกนาม

ขบวนการที่เราจะแยกรูปแยกนาม
แค่แยกน้ำออกจากนมยังใช้ขบวนการตั้งเยอะ

แยกกายออกจากใจ แยกรูปออกจากนาม
ถ้าใช้ความรู้ระดับสัญชาตญาณ ทำไม่ได้

ถ้าเราเก็บน้ำกับนมไว้นานๆ
นมต้องบูดเน่า
แต่ถ้าเราแยกน้ำออกมาใสๆ
แยกผงนมออกต่างหาก
ทั้งผงและน้ำเก็บไว้ทั้งปีก็ไม่เสีย

การแยกรูปแยกนาม
เพื่อเข้าสู่ความเป็นอมตะ
เรียกว่าอมตธรรม
รูปก็ไม่เสื่อม นามก็ไม่เสื่อม

แต่เมื่อใดรูปกับนามปนกันโดยที่ไม่แยก
เหมือนน้ำนม ไม่เกินสามวัน
บางทีเก็บวันเดียวก็ไม่อยากทานแล้ว
มันเริ่มมีกลิ่นตุๆ แล้ว

แต่น้ำใสๆ ที่กลั่นแล้ว เก็บได้ทั้งปี
หลายปีก็ไม่เปลี่ยนแปลง
ผงนมก็เช่นเดียวกัน
แต่มันเป็นรูปอยู่ มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ดี
แต่อายุมันยืนกว่าที่ทั้งสองอย่างมารวมกัน

อะไรก็ตามขึ้นชื่อว่ารูป
มีการเปลี่ยนแปลงหมด
แต่จะเปลี่ยนแปลงช้าหรือเปลี่ยนแปลงไว
ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

การเปลี่ยนแปลงของรูปนามเป็นทุกข์

กายกับใจถ้ามารวมกัน มีการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงของรูปกับนาม
กายกับใจ รวมกันเราเรียกว่า…

“ชาติปิทุกขา การเกิดเป็นทุกข์
ชราปิทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
พยาธิปิทุกขา ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์
มรณังปิทุกขัง ความตายเป็นทุกข์”

การเปลี่ยนแปลงทั้งสี่อย่าง
โดยที่เราไม่รู้ต่อการเปลี่ยนแปลงของมัน
ก่อให้เกิดรูปอีกอันหนึ่ง
ที่เข้าไปอยู่ข้างใน

รูปนั้นเรียกว่า
“โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส”
เปลี่ยนเป็นนามรูป

“อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข”
ประสบกับสิ่งที่ไม่น่ารักก็เป็นทุกข์

“ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข”
พลัดพรากจากสิ่งที่น่ารักเป็นทุกข์
สามีภรรยารักกัน เกิดพลัดพรากจากกัน
ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด
เพราะเราไม่รู้ถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงของมัน

“ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง”
ปรารถนาสิ่งใด
ปรารถนาให้เงินหนึ่งล้านอยู่กับตัวเอง
ไม่ให้มันเสียไปเลย ไม่ได้
ปรารถนาให้คนที่รักที่สุดอยู่กับเรานานที่สุด
ก็เป็นทุกข์

“สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา”
ทั้งหมดขึ้นอยู่กับประการเดียวคือ
การเข้าไปยึดทั้งรูปและนาม
เป็นทุกข์โดยแท้ เป็นต้นตอของทุกข์
เราสวดกันทุกวัน แต่เราตีบทไม่แตก
เพราะเราสวดแบบนกแก้วนกขุนทองไปแบบนั้น

เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่าทีที่เราจะไปจัดการ
รูปนามและนามรูป
ให้เป็นประโยชน์นั้น ทำอย่างไร?

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

แก้ปัญหา เพิ่มปัญญา

ถามก่อนว่าช่วงเช้าการออกกำลังกาย
สบายหรือไม่สบาย…ไม่สบาย
มันหนัก มันเหนื่อย เหงื่อแตก
หายใจแทบไม่ทัน

เป็นปัญหาที่เราสร้างขึ้น หรือว่ามันเกิดเอง?
…เราเจตนาสร้างขึ้น

ความทุกข์และปัญหาที่เราเจตนาสร้างขึ้น
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันหนัก มันเหนื่อย
เหงื่อกาฬแตก หายใจไม่ทั่วท้อง
แทบจะใจขาด รู้ว่าเป็นทุกข์
เราทำไปทำไม?

เราสร้างปัญหาเพราะเรารู้ผลว่า
การสร้างปัญหาอย่างนี้ มันจะเกิดผลอย่างนี้
เพราะเรารู้ขบวนการ

เวลาครูออกข้อสอบมา เรียกว่าออกปัญหา
เราไม่ชอบ แต่เราต้องทำ
เพราะรู้ว่าถ้าตอบปัญหาได้ มันจะสบาย
มันจะสอบได้

ที่เราเรียนจบกันมา
ถ้าไม่ผ่านการออกข้อสอบของครู
เราจะเรียนจบมาไม่ได้
นั่นคือการสร้างปัญหาขึ้นมาเพื่อที่จะ
พัฒนาสติปัญญา ให้เกิดแสงสว่าง

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

เกิดเท่าใด ดับเท่านั้น หมดปัญหา

แต่ถ้าเราไปเจอปัญหา
โดยที่เราไม่รู้ขบวนการการสร้าง
คนอื่นที่มาสร้างปัญหาก็ไม่มีขบวนการ
ว่ามันจะเป็นประโยชน์อย่างไร
มันจะได้อะไร
อันนี้คือตัวทุกข์แล้ว

แต่ทุกข์เพราะปัญหาที่เราสร้างขึ้น
และคนอื่นสร้างขึ้นร่วมกับเรา
เรารู้ขบวนการขั้นตอนว่า
มันจะไปจบอย่างไร
นี้เรียกว่าตัวปัญหาและตัวทุกข์
กลายเป็นพลังงาน

สมมติเขาออกข้อสอบมาสิบข้อ
เราตอบได้ห้าข้อ
ปัญหานั้นเกิดขึ้นมา
เราดับได้คือตอบถูก

แต่อีกห้าข้อมันเกิดปัญหา
แล้วเราดับมันไม่ได้
ต้องกลับไปทำใหม่

เราต้องไปหาคำตอบให้มันครบ
ถ้าคนไหนตอบได้มากที่สุด
ปัญหาสิบข้อตอบได้แปดข้อเก้าข้อ
ก็ไปแก้ปัญหาอีกแค่สองข้อ

ถ้าปัญหาสิบข้อ เราตอบได้สิบข้อ
เกิดเท่าใด ดับเท่านั้น
เราก็สบายใจ

เกิดเท่าใดดับเท่านั้น หมดปัญหา
ออกข้อสอบมาสิบข้อ เราตอบได้สิบข้อ
หมดปัญหา สบายใจ

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ทุกข์จากรูปเกิดตลอดเวลา

หายใจเข้ากับหายใจออก
ในอัตราส่วนที่เท่าๆ กัน
ไม่มีปัญหา

แต่ถ้าหายใจเข้าสั้น หายใจออกยาว
หายใจเข้ายาว หายใจออกสั้นเกินไป
เกิดปัญหา เพราะไม่สมดุลกัน

หลักความสมดุล
เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเกิดปัญหา
มัชฌิมาปฏิปทา

ดังนั้นเราจะเห็นว่า
รูปกับนาม ถ้าวิเคราะห์วิจัยให้ลึกๆ แล้ว
มันสนุกและหลากหลายมาก
จะทำให้เราเกิดปัญญามหาศาล

แต่ส่วนใหญ่เรามองอย่างเผินๆ
เรานั่งนานๆ เกิดปัญหา
ปัญหาคือหนักก้น หนักหลัง หนักไหล่
ปวดขา เมื่อย เพลีย
ปัญหานี้เราสร้างขึ้นหรือมันสร้างเอง

โดยรูปมันสร้างเอง
ในรูปนี้มีนามอยู่
คือเข้าไปรู้ว่าการนั่งอย่างนี้หนัก
จะทำอย่างไรให้มันเบาได้
ใครเป็นผู้เข้าไปทำให้มันเบา

การที่ทำให้มันเบาได้
เรียกว่าเข้าไปแก้ปัญหา
มัน question เข้ามา
เราก็ answer ทันที
มันหนักเราก็เปลี่ยนได้

การตอบปัญหาได้
คือขบวนการของการดับ
และปัญหาต้องเกิดตลอดเวลา
ในเรื่องของรูป

เพราะฉะนั้น การบำบัดทุกข์ที่เกิดจากรูป
ต้องทำตลอดเวลา นั่นคือขบวนการ
เพราะมันเกิดตลอดเวลา

ถ้าหากว่าเราไม่บำบัดตลอดเวลา
เราลืมแก้มันเสีย
เขาเรียกว่าเศษกรรม
แล้วมันจะรวมเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่อไป

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

สมถะติดวิบาก

วิบากกรรมไม่มีใครสร้างให้เรา
โดยธรรมชาติ มันสร้างมันเอง

สมมติว่าข้อสอบสิบข้อ
เราทำได้ห้าข้อ
อีกห้าข้อเป็นวิบากกรรม
ที่เราจะต้องไปทำใหม่ ไปแก้ใหม่

สิบข้อเราแก้ปัญหาได้แปดข้อ
เราก็มีวิบากกรรมแค่สอง
เราดับได้แปด เหลือแค่สอง
เราก็ไปตามดับเอา

ปัญหาของรูป เรานั่งอยู่หนึ่งชั่วโมง
เราแก้มันตลอดเวลา
ในหนึ่งชั่วโมงนั้นความทุกข์ที่ค้างอยู่
ตามข้อ ตามแขน ตามไหล่ ไม่เหลืออยู่
เพราะได้รับการแก้ไข

แต่อีกคนนั่งแช่อยู่หนึ่งชั่วโมง
โดยที่ไม่บำบัด ไม่แก้ไข
ความทุกข์เกิด เป็นวิบาก

ผู้ที่ปฏิบัติภาวนาในระดับสมถะ
จึงไปสู่อารยะบุคคลไม่ได้
เพราะมันติดวิบาก

แต่วิปัสสนานั้น ปัญหาความไม่สบาย
เกิดขึ้นเท่าใดดับเท่านั้น แล้วมันจบ

แต่สมถะเกิดร้อยดับสิบ
ที่เหลือเก้าสิบเป็นผลวิบากกรรม

ผู้ที่ปฏิบัติสมถะทั้งหลาย
จึงแบกวิบากกรรมไปสู่แค่พรหมอย่างสูงสุด
ไปสู่โลกุตตระไม่ได้

พระพุทธเจ้าท่านจึงไม่ได้ทำตาม
อาฬารดาบสและอุทกดาบส
เพราะเป็นแค่สมถะ
ทรมานตนเองให้ลำบาก
ลัทธิอย่างนี้ยังมีอยู่ที่เมืองไทยเยอะทีเดียว

แม้แต่ในวิธีการหลวงพ่อเทียนเช่นกัน
บางคนต้องการทำสมถะ
ไม่ต้องการทำวิปัสสนา

เพราะทำสมถะมันมีเรื่องสนุกเยอะ
ได้เล่นกับทุกข์ ได้สนุกกับทุกข์อยู่
นั่นคือวิบากกรรม

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ
MINOLTA DIGITAL CAMERA

สมถะได้แค่พรหม

คนมีวิบากอยู่ คือเอาทุกข์เป็นที่เล่น ที่สนุก
เรียกว่า อัตตกิลมัตถานุโยค
ยังหาความสนุกในทุกข์อยู่

แต่บางคนไม่อยากทำแล้ว
ทำให้สบายดีกว่า ไปทำให้ลำบากทำไม
มานั่งยกมือ นั่งทรมานกายทำไม
ไปนอนหลับสบายดีกว่า

เป็นวิบากในฝ่ายตรงข้าม
เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค
ไปติดสบาย

ทำความเพียรก็ทำแบบสบายๆ
นั่งหลับบ้าง รู้สึกตัวก็ยกมือไป
ง่วงก็หลับต่อ เป็นกามสุขัลลิกานุโยค
เพราะการเกิดการดับไม่สมดุลกัน

หรืออีกฝ่ายนั่งทำเต็มที่ได้
สามชั่วโมง ห้าชั่วโมง ทนได้สบาย
มีนิมิตเกิดขึ้นมากมาย มีสีแสง
มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นมากมาย

แต่กายต้องรับผลวิบาก
ผู้ที่ติดสมถะจึงไปนิพพานไม่ได้
ไปได้แค่เทวดาและพรหมอย่างสูงสุด
ติดอยู่แค่นั้น

ในประเทศไทย ผู้สอนกรรมฐาน
ปฏิบัติอยู่ตรงนี้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์
วิปัสสนาไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์

สมัยที่อาตมาเข้าใจธรรมะใหม่ๆ
อาตมาถามหลวงพ่อเทียนว่า
ประเทศไทยมีชาวพุทธเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์
แต่ชาวพุทธแท้มีแค่สิบเปอร์เซ็นต์จริงหรือ
ท่านบอกไม่ถึงสองเปอร์เซ็นต์

ในร้อยคนผู้เป็นพุทธที่เข้าใจแท้ๆ
ไม่ถึงสองคน อีกเก้าสิบแปดคนคืออะไร?
แต่เดี๋ยวนี้พัฒนามาเกือบสามสิบปี
น่าจะขึ้นถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์

เพราะหลังจากที่หลวงพ่อเทียน
หลวงพ่อพุทธทาส หลวงพ่อชา เกิดขึ้น
คนก็ตื่นตัวในเรื่องการภาวนา
แยกอะไรเป็นสมถะ อะไรเป็นวิปัสสนา

แต่ก่อนหน้านั้นมันมั่วๆ มาตลอด
ปฏิบัติสมถะก็ว่าเป็นวิปัสสนา
ปฏิบัติวิปัสสนาก็ว่าเป็นสมถะ
บางคนทำอย่างไรก็ได้
เลยไม่ใช่หลักสูตรที่พระพุทธเจ้าสอน

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ละทางสุดโต่งสองทาง

ที่พระพุทธเจ้าสอนว่า
ผู้ปฏิบัติพึงละทางสุดโต่งสองทาง
ทางแรกคืออย่าสนุกกับความทุกข์
คืออัตตกิลมัตถานุโยค

เอาความทุกข์มาเป็นประเด็นในการปฏิบัติ
เพราะเป็นการทำร้ายตัวเอง
แล้วคนนั้นก็จะได้รับวิบากทางกาย

นั่งนิ่งไม่ไหวติง
ร่างกายเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เราต้องขยันเปลี่ยนตามเขา
เพื่อแก้ไขวิบาก

อีกคนหนึ่งติดสบาย
เรื่องอะไรจะไปทรมานกายให้ลำบาก
เอาสบายดีกว่า เป็นกามสุขัลลิกานุโยค
พระพุทธเจ้าบอกว่าเอาสายกลาง
ทำให้พอดี

หนึ่ง ต้องเห็นถูกต้อง
เห็นถูกต้องคือ
เห็นทุกข์ในร่างกายมีตลอดเวลา

สอง ถ้าเราไม่สามารถควบคุมทุกข์
ที่เกิดทางกายได้ ทุกข์นั้นจะเลยไปหาจิต
เรียกว่าสมุทัย

รูปนามเป็นทุกข์
แต่เมื่อใดเราควบคุมทุกข์อยู่ในรูปนามไม่ได้
เข้าไปสู่จิต เรียกว่านามรูป
คือเป็นสมุทัย

ตัวนามรูปเป็นสมุทัยที่แท้จริง
รูปนามเป็นพียงตัวร่วม
ไม่ได้เป็นสมุทัยโดยตรง

ถ้าเราแก้ความทุกข์ในรูปนามทัน
ทุกข์ก็จะไม่ลามไปสู่จิต ไม่เป็นนามรูป

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

รูปที่อยู่ในนามคือความคิด

เราจะทำอย่างไรให้ทุกข์เป็นนิโรธให้ได้
คือมันดับ
ตัวรูปที่มันอยู่ในนาม
คือตัวความคิดที่มันอยู่ในตัวรู้
เราจะแยกออกมาอย่างไร

ต้องใช้ขบวนการ หรือกรรมวิธี
เรียกว่ามรรค

ท่านแยกไว้แปดอย่าง มรรคมีองค์แปด
องค์แรกสัมมาทิฏฐิ

ความหมายของสัมมทิฏฐิข้อหนึ่งคือ
รูปเป็นที่ตั้งของทุกข์โดยประการเดียว

เราต้องปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา
เพื่อบำบัดและควบคุมทุกข์
ให้อยู่ในแค่รูปนาม

แต่ถ้าเราไปสร้างทุกข์ให้กับรูปนาม
ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว

ไปทรมานกายเป็นมิจฉาทิฏฐิ
เพราะไปสร้างความทุกข์ให้กับรูป

เพราะรูปโดยสภาวะแล้ว
มันเป็นทุกข์โดยอัตโนมัติของมันอยู่แล้ว
เราไปเพิ่มทุกข์ให้มันอีก
เป็นมิจฉาทิฏฐิ
เห็นผิดเป็นสมถะ

สมถะจึงมีสองแบบ
หนึ่ง สมถะแบบพราหมณ์
สอง สมถะแบบพุทธ

สมถะแบบพุทธจะเอื้อต่อวิปัสสนา
แต่สมถะแบบพราหมณ์
จะเป็นเส้นขนานกับวิปัสสนา
คนละทางกันเลย

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

บำบัดทุกข์ในรูป กำจัดทุกข์ในนาม

ในประเทศไทยเรา
เป็นสมถะแบบพราหมณ์
ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์

เวลาปฏิบัติต้องการเห็นสีเห็นแสง
เห็นฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์
เห็นเลข เห็นหวย เห็นเบอร์
รู้ล่วงหน้า อะไรทำนองนั้น
แต่ไม่ต้องการเห็นทุกข์

สะกดทุกข์และเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นพลัง
ซึ่งมันเป็นสมถะในแง่ของรูปเท่านั้น

คำจำกัดความของสัมมาทิฏฐิอันที่สอง
เมื่อร่างกายมันเป็นทุกข์
ทุกข์ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ

ทุกข์มีที่มาที่ไปเรียกว่า สมุทัย
และสมุทัยนี้เราจะดับมันได้
แต่ต้องมีขบวนการ

มรรคองค์ที่หนึ่ง
เราเห็นความทุกข์เป็นสิ่งที่แก้ไขบำบัดได้
ถ้าทุกข์ที่เกิดทางสมุทัย
เราเรียกว่า ดับ กำจัด หรือเอาออก

แต่ทุกข์ที่เกิดในรูป เราใช้คำว่า บำบัด
ทุกข์ต้องบำบัด
ท่านไม่ใช้คำว่าดับ

บำบัดหมายความว่ามันเกิดขึ้นเรื่อยๆ
ต้องคอยบำบัดเรื่อยๆ
แต่ถ้า ดับ หมายความว่า
มันแยกออกไปต่างหากได้เลย

แต่ความทุกข์ที่เกิดในรูป
มันแยกออกไปต่างหากไม่ได้
เพราะมันเป็นกฎของมัน
เรียกว่าไตรลักษณ์

แต่ถ้าทุกข์ที่เกิดในกาย
ถูกควบคุมจำกัดขอบเขตอยู่
บำบัดอยู่แค่รูป
มันก็จะไม่ไหลไปสู่นาม
ก็จะไม่เป็นนามรูป
เพราะมันแยกออกมาแล้ว

แต่ในกรณีที่เราไม่รู้มรรคแปด
เพราะเราไม่รู้ขบวนการ
เราก็จะสร้างทุกข์ให้กับตัวเอง

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

เห็นถูกคิดถูก เห็นผิดคิดผิด

ขบวนการกำจัดทุกข์อันที่หนึ่ง
คือ อริยสัจสี่
ขบวนการอันที่สอง
คือ สัมมาสังกัปปะ

สัมมาทิฏฐิคือเห็นถูก
เห็นว่าความทุกข์แก้ไขได้ด้วยขบวนการทั้งสี่
คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ยังไม่พอ ต้องใช้ขบวนการที่สองคือ
สัมมาสังกัปปะ

สัมมาสังกัปปะแปลว่า คิดถูก
เห็นถูกถึงจะคิดถูก เห็นผิดก็คิดผิด

เช่นเราเดินทางไปในค่ำคืน
แสงสว่างลิบหรี่ไม่มีไฟฉาย
อาศัยแสงจันทร์
สมัยเราเป็นเด็กไฟฉายไม่มี

อาตมาเป็นเด็กวัด ต้องไปนอนวัด
สวดมนต์ เรียนภาษา
เราทำงานวันยังค่ำ ไฟฉายไม่มี
บ้านห่างจากวัดเกือบกิโล
ต้องวิ่งจากบ้านไปวัด

บางวันไม่มีแสงจันทร์
ก็ใช้ไม้แคร่ เอาไม่ไผ่มาสับๆ
จุดแล้ววิ่ง พอวิ่งลมมันพัดไฟก็ลุก
พอเห็นทาง

ถ้าวันไหนเดือนหงายมีพระจันทร์
ก็เห็นทาง พอไปได้
บางครั้งอาตมาเอาธูปมาเล่น
มาจุดแล้วก็หมุน กันผีหลอก
ที่จริงเพื่อให้ใจอยู่กับธู
เพราะทางเส้นนั้นมีคนตายเยอ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปเห็นวัตถุชนิดหนึ่ง
มันเลี้ยวไปเลี้ยวมาเหมือนง
เราก็ชะงัก คิดว่างู
คว้าเอาก้อนหินข้างทางเขวี้ยงมัน
มันก็ไม่ดิ้น ดูอีกทีมันไม่ใช่งู
เป็นเชือกเส้นใหญ่
เรียกว่าเราเห็นผิด เห็นว่าเชือกเป็นงู

วิธีการที่จะรู้ว่าเชือกเป็นเชือกไม่ใช่งู
ต้องมีการพิสูจน์

เมื่อมีมิจฉาทิฏฐิ ก็จะเกิดมิจฉาสังกัปปะ
คิดผิดด้วย แต่พอเรามีการตรวจสอบก่อน
แล้วค่อยไปสัมผัสอีกที
สัมมาสังกัปปะก็เกิดขึ้น

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

สัมมาสังกัปปะ คิดแบบมีสติ

สัมมาสังกัปปะมีนิยามสามประการ

หนึ่ง คิดอะไรก็ได้ แต่ให้ออกจากความอยากได้
เรียกว่า เนกขัมมสังกัปปะ

สอง คิดอะไรก็ได้ ที่ไม่เบียดเบียนตนเอง
เรียกว่า อัพยาปาทสังกัปปะ

สาม คิดอะไรก็ได้ ที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น
เรียกว่า อวิหิงสาสังกัปปะ

ปฏิบัติไม่ใช่ห้ามไม่ให้คิด
สัมมาสังกัปปะแปลว่าคิดถูก
สังกัปคือความคิดแบบมีสติปัญญา

สังกัปกับสังขารคนละเรื่อง
สังขารคิดแบบขาดสติ
แต่สังกัปคิดแบบมีสติ

ถ้าคิดแบบมีสติ
มันจะก่อให้เกิดคุณภาพสามประการ

หนึ่ง ไม่คิดไปตามความอยาก
เรียว่า เนกขัมมะสังกัปปะ

สอง สิ่งที่คิดออกมาล้วนแต่เป็นประโยชน์
กับตนเอง เป็น อัพยาปาทสังกัปปะ

สาม สิ่งที่คิดออกมานั้น
เอื้อประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ด้วย
เรียกว่า อวิหิงสาสังกัปปะ
อย่างนี้เรียกว่าคิดถูก

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ไม่ได้ห้ามไม่ให้คิด

ไม่ได้ไม่ให้คิด แต่คิดให้ถูก
แล้วมันจะออกมาสามอย่าง

หนึ่ง เป็นการออกจากความอยาก
อะไรก็ตามที่ทำให้เราอยากโน่นอยากนี่
พยายามที่จะออกจากมัน
เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น

สอง อย่าเบียดเบียนตัวเอง
สาม อย่าเบียดเบียนคนอื่น

เอื้อตัวเองและผู้อื่น เรียกว่าคิดถูก
แต่ถ้าไม่มีองค์ประกอบสามประการ
คิดออกมาเป็นมิจฉาสังกัปปะ

ในคำว่ารูปนาม มีความหมายละเอียดลึกซึ้งมา
เราจะดูมันเผินๆ ไม่ได้

คอนเซ็ปต์หลักก็คือ
รูปนี้สร้างความไม่สบาย
ให้แก่เราตลอดเวลา

สอง เมื่อความไม่สบายนี้
ไม่ได้ถูกบำบัดอย่างเหมาะสม
ความไม่สบายของรูป ผ่านไปสู่นาม
ความทุกข์ก็เกิดจากนามด้วย

การบำบัดความทุกข์ที่เกิดจากรูป
และความทุกข์จากรูปที่ไหลไปสู่นาม
อย่างไหนแก้ไขง่ายกว่า

รูปแก้ไขได้ง่ายกว่า เวลายกแค่นี้ก็ดับแล้ว
นี่เรียกว่าบำบัด
ลักษณะที่ดับแล้วเกิด เกิดแล้วดับ
เราเรียกว่าบำบัด

ลักษณะที่ดับแล้วไม่เกิดเลย
เรียกว่าขจัด หรือดับ เหมือนเราดับไฟ

ในการบำบัดความทุกข์ออกจากกาย
เป็นกิจกรรมที่เราต้องทำตลอดเวลา
ชีวิตจึงเกิดการเคลื่อนไหว
เคลื่อนไหวเพื่อบำบัดทุกข์

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

บำบัดทุกข์แบบสัญชาตญาณเป็นโมหะ

การบำบัดทุกข์มีสองลักษณะ
หนึ่ง บำบัดด้วยความไม่รู้
สอง บำบัดด้วยความรู้สึกตัว

เช่น รู้สึกหนักก็ลุก เท่านั้นเอง
ไม่ต้องไปรู้อะไรมัน
เพื่อต้องการเอาความหนักนั้นออกไป
ลักษณะนี้บำบัดด้วยความไม่รู้

ความสบายเกิดขึ้น
แต่มันเกิดขึ้นด้วยความไม่รู้ตัว
แทนที่จะเป็นปัญญา กลายเป็นโมหะ
เพราะการบำบัดทุกข์นั้น
ทำด้วยอำนาจของสัญชาตญาณ

แต่ก่อนที่จะบำบัด รู้ให้ชัดก่อน
ว่าหนักขนาดนี้ ทนได้หรือไม่
ถ้าทนได้ก็นั่งไปอีกหน่อย

การตามรู้ ตามพิจารณาอย่างนี้
ขบวนการรู้เกิดขึ้นแล้ว

หนึ่ง ทุกข์ต้องกำหนดรู้
ตามหลักอริยสัจสี่

สอง ความทุกข์นี้จะเข้าไปสู่จิต
สมุทัยต้องละ
ต้องละความรู้สึกนั้นเสีย

เข้าไปพิจารณาด้วยหลักอริยสัจสี่
หนักเกินไปรู้สึกหงุดหงิดรำคาญ
ไม่สนุก กลายเป็นสมุทัย
ก็ปรับนิดหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้น

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

เห็นชัดก่อนบำบัด

ความหนักที่สะโพกเกิดขึ้นอย่างไร
อาตมาอธิบายมาหลายครั้งแล้ว
ไมต้องอธิบายซ้ำอีก

แต่ให้รู้ว่าการบำบัดทุกข์ทางรูป
ทำด้วยความรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว
ถ้าทำด้วยความไม่รู้ตัว เป็นสมุทัย

สร้างสมุทัยขึ้นมา เรียกว่าอวิชชา หรือโมหะ
มันจะคิดหรือไม่ แต่มันเริ่มมีกรอบสมุทัยแล้
เป็นโมหะอวิชชา

แต่ถ้ามีการลำดับขบวนการเกิดว่า
ขณะที่จะขยับ ให้ตามรู้ว่าทนได้แค่ไหน
ก็ปรับไป

ทั้งหมดเป็นร้อยๆ ตัวอย่างในร่างกายเรา
หายใจเข้า มันฝืดเพราะแน่นจมูก
เป็นทุกข์ แก้ไขได้ทันที

หายใจเข้ายาว หายใจออกสั้น ก็เป็นปัญหา
หายใจเข้าสั้น หายใจออกยาว ก็เป็นปัญหา

ประเด็นที่จะทำให้เกิดทุกข์
มีทุกส่วนของร่างกาย
ท่านจึงบอกว่าให้เห็นทุกข์ก่อน

ทุกข์ต้องกำหนดรู้ ทุกข์ต้องให้เห็น
ทุกข์ต้องเข้าใจ
ทุกข์ต้องวิเคราะห์วิจัยให้แจ้ง
มันจะไม่เป็นสมุทัย

การที่จะยกทุกข์ออกจากสะโพก
ต้องเห็นชัดๆ ก่อนว่าอะไรเกิดขึ้นตรงนั้น
มันจะไม่เกิดเป็นสมุทัย
ต้องทำด้วยสติและปัญญา

คนที่ไม่ได้เจริญสติ เจริญปัญญาเลย
เขาจะไม่รู้อย่างนี้
ร้อยทั้งร้อย ไม่สบายก็ลุกหนีเท่านั้นเอง

ลุกหนีนั้นแสดงว่า
สมุทัยเข้าไปสู่จิตเรียบร้อยแล้ว
เกิดความหงุดหงิด รำคาญ อึดอัด
เราลุกหนี เป็นสมุทัย นามรูป เรียบร้อยแล้ว

การที่จะเอาความอึดอัดออกจากจิต
กับการเอาความรู้สึกไม่สบายออกจากสะโพก
อันไหนง่ายกว่า

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

แยกรูปแยกนามด้วยการเคลื่อนไหว

เราต้องขยันบำบัด
แต่ถ้าเรามีการฝึกฝนอบรม
มีการฟังเรื่องการเจริญสติ สมาธิ ปัญญาแล้ว
เราจะต้องใช้ตัวนี้บ่อยๆ
การปฏิบัติก็จะก้าวหน้า

ทุกครั้งก่อนที่เราจะขยับปรับเปลี่ยน
เพื่อที่จะบำบัดทุกข์ ให้ตามรู้เยอะๆ

หลวงพ่อเทียนจึงเอาการเคลื่อนไหว
มาเป็นประเด็น เป็นที่ตั้งของการตามรู้
เพื่อเป็นการบำบัดทุกข์อย่างรู้เนื้อรู้ตัว
เป็นการแยกรูปแยกนามไปในตัว

ทุกครั้งที่มีการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ
เพื่อบำบัดทุกข์อย่างรู้เนื้อรู้ตัวชัดเจน
ตรงนั้นแยกรูปกับนามได้เรียบร้อยแล้ว

แต่ว่ายังเป็นมรรคอยู่
เพราะการแยกรูปนามมีสองระดับ
ระดับมรรค และระดับผล

ระดับมรรค ต้องทำบ่อยๆ
มรรคต้องเจริญบ่อยๆ
นิโรธทำให้แจ้ง

ให้เห็นชัดๆ ว่ารูปกับนามแยกกันชัดเจนจริงมั้ย
ให้เห็นชัดๆ ไม่ใช่แยกแบบมั่วๆ
ให้เห็นชัดว่าไม่มีรูปเหลืออยู่จริงๆ

เมื่อจิตใจของเราไม่มีรูปเหลืออยู่
จะรู้สึกโล่ง โปร่ง เบา สบาย ว่าง ผ่อนคลาย
นิโรธจะออมาในลักษณะ โล่ง โปร่ง เบา
สบาย ผ่อนคลาย มีความสงบลึกซึ้ง มีความสุข
อันนี้เป็นผลที่ถาวร

แต่ผลเบื้องต้นที่เป็นระดับมรรค
ต้องปรับเดี๋ยวเบา เดี๋ยวหนัก เดี๋ยวคิด
ยังไม่เป็นผล ถ้าเป็นนิโรธเมื่อใดเป็นผล
มรรคเป็นเหตุ นิโรธเป็นผล

ระหว่างทุกข์และสมุทัย
ตัวไหนเป็นเหตุ ตัวไหนเป็นผล

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

 

รูปเป็นเกิด นามเป็นดับ

ทุกข์เป็นผล สมุทัยเป็นเหตุ
เป็นผลหมายถึงดับ
เป็นเหตุหมายถึงเกิด

ในทุกข์และสมุทัย ที่เป็นการเกิดดับของทุกข์
นิโรธและมรรค เป็นการเกิดดับของทุกข์ในนาม
ทุกข์และสมุทัย เป็นการเกิดดับของทุกข์ในรูป

เพราะฉะนั้น ย่ออริยสัจสี่เหลือสองได้
คือรูปกับนาม

รูปกับนาม ตัวไหนเป็นเกิด ตัวไหนเป็นดับ

รูปเป็นเกิด นามเป็นดับ
การเฝ้าดูรูปนาม คือเฝ้าดูการเกิดดับนั้นเอง
เฝ้าดูการเคลื่อนไหว
คือเฝ้าดูการเกิดดับนั่นเอง

ในวิปัสสนาจึงเอาตัวเกิดดับเป็นอารมณ์
การเกิดดับเป็นปรมัตถ์
เมื่อชัดเจนเราก็ไม่สงสัย เราก็ตั้งใจทำ
ส่วนจะทำได้มากน้อย ขึ้นอยู่กับศรัทธา
เงื่อนไขห้าประการ

หนึ่ง ต้องมีศรัทธา ความรักที่จะทำ
สอง ต้องลงมือทำ

ศรัทธาและความเพียรจะถูกต้อง
มีตัววัดสามประการ
ถ้าถูกต้องแล้ว สติ สมาธิ ปัญญา ต้องเกิด

ถ้าศรัทธาและความเพียรไม่ถูกต้อง
สติ สมาธิ ปัญญา เกิดน้อย หรือไม่เกิด

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

อินทรีย์ห้ากลายเป็นพละห้าถ้าทำถูก

จะพิสูจน์ว่าศรัทธาและความเพียร
ของเราถูกต้องหรือไม่ ต้องดูสามตัวนี้
เราเรียกว่าอินทรีย์ห้า

ถ้าเราทำถูก มันก็เป็นพละห้า
ถ้าเราทำไม่ถูก มันก็เป็นอินทรีย์เหมือนเดิม
ไม่แน่ว่าจะถูกหรือจะผิด
ธรรมหมวดเดียวกันแต่มีสองชื่อ
คืออินทรีย์ห้าและพละห้า

ทำไมต้องมาซ้ำกัน
ถ้ายังเป็นอินทรีย์อยู่
ยังไม่แน่ว่าจะถูกหรือผิด

แต่ถ้าเมื่อใดเป็นพละ
หมายความว่ามันถูกฝ่ายเดียว
คือประกอบด้วยสติมีกำลัง
สมาธิมีกำลัง ปัญญามีกำลัง

เราจึงมาเพิ่มกำลังให้สติ สมาธิ ปัญญา
โดยการยกมือ ตามรู้การเดินจงกรม
คือการเพิ่มกำลังให้สติ สมาธิ ปัญญา

เมื่อสติ สมาธิ ปัญญา มีกำลังแล้ว
ทำให้ตัวญาณมีกำลัง
มันจะแยกจากสัญชาตญาณและวิญญาณ
พัฒนาจากสัญชาตญาณและวิญญาณ
ให้มาเป็นญาณเฉยๆ เรียกว่าตัวรู้

ถ้าเราไม่ชัดเจนแบบนี้ ปฏิบัติมั่วไปตลอด
มันเสียเวลา

 

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ลืมตามรู้กลายเป็นวิบาก

เราจะทำเรื่องลึก เรื่องละเอียดให้ง่าย
แทนที่จะไปพิจารณาเรื่องเหล่านี้
มันไม่จำเป็นแล้ว

อธิบายว่าตัวญาณประกอบด้วยอะไร
หน้าที่ของเราคือ รู้สึกปวดหัวปวดท้อง
เอายาใส่ปาก ดื่มน้ำเรียบร้อย
ไม่ต้องมารู้ว่ายาตัวนี้ประกอบด้วยอะไร ใครผลิต

สิ่งที่หลวงพ่อพูดถึง กำลังอธิบายเม็ดยาตัวนี้
แต่หน้าที่ของพวกเรา คือเอายาใส่ปาก ดื่มน้ำ จบ

ในขณะที่รู้สึกไม่สบาย ก็เข้าไปตามรู้มันหน่อย จบ
แต่ความรู้สึกไม่สบายมันเกิดทางรูปตลอดเวลา
ต้องตามรู้ตลอดเวลา

ในครั้งใดที่เราลืมตามรู้ ครั้งนั้นเป็นวิบาก
ที่จะต้องไปแก้ต่อไป

เขาให้ปัญหามาสิบข้อ ทำได้ห้าข้อ
อีกห้าข้อไม่ต้องทำ
อาจารย์ต้องมาบอกให้ไปทำมาให้หมด
ไม่งั้นสอบไม่ผ่าน ต้องไปเรียนซ้ำชั้น

เราก็ต้องเร่งทำข้อสอบ
ปฏิบัติชาตินี้ไม่พอ
ชาติหน้าต้องมาปฏิบัติอีก
ไม่รู้จะได้เกืดมาฟังกันอีกหรือเปล่า

เรื่องนี้ถ้าเป็นรูปธรรมแล้วจะเห็นง่าย
ถ้าเป็นนามธรรมเห็นยาก
เพราะเรายังไม่มีประสบการณ์

ในเรื่องรูปนาม นามรูป แค่สองเรื่อง
เจาะลึกในรายละเอียดออกมาเป็นอย่างนี้

แต่ในภาคปฏิบัติของเรา
ให้มีศรัทธาและความเพียรในการทำ
แค่นั้นเอง

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

อย่าทำด้วยความอยาก

แต่ถ้าเราศรัทธาบ้าง ไม่ศรัทธาบ้าง
ความเพียรเต็มบ้าง ไม่เต็มบ้าง
รูปนามก็แยกได้บ้าง แยกไม่ได้บ้าง
แยกได้ครึ่งๆ กลางๆ

นมหนึ่งแก้ว เอาไปตากแดดเหลือครึ่งแก้ว
นมก็จะยังเสียได้อยู่
ถ้าอย่างนั้นเอาไปต้มให้เหลือครึ่งแก้ว
ทิ้งไว้นานๆ ยังเสียได้อีก
จนแยกได้ชัดเจนว่า นี่คือน้ำเปล่า นี่คือผงนม
ก็จะไม่เสีย

เหมือนเราเคลื่อนไหว ยกมือแต่ละครั้ง
แล้วแต่ว่าน้ำมันงวดแค่ไหน
ความคิดมันงวดลงแค่ไหน
ความรู้สึกตัวมันปรากฏแค่ไหน

ถ้าความรู้สึกตัวเหมือนน้ำใสๆ
มันก็แยกได้เยอะ
ผงนมข้นๆ มันแยกได้แค่ไหน
เราต้องคำนึงถึงคุณภาพในการยกแต่ละครั้ง
กำหนดรู้แต่ละครั้งให้ชัด

แต่คำว่าชัดกับเพ่งเป็นคนละเรื่อง
เพ่ง หมายถึงตั้งใจเป็นสาย
เพื่อเอาความรู้ให้เต็มที่
อันนี้เรียกว่าความอยากเข้าไปแล้ว
อยากจะให้มันชัด

อย่าทำด้วยความอยาก
เพราะความอยากเป็นสมุทัย
ทำให้มันสบาย

ลักษณะที่ทำให้สบาย ให้ถูกต้อง
เราไม่เรียกว่าอยาก
เราเรียกว่าฉันทะ ในอิทธิบาทสี่
รักในการที่จะทำ

ฉันทะที่ถูกต้อง ที่ไม่เป็นตัณหา
ประกอบด้วย วิริยะ จิตตะ วิมังสา
จึงไม่อยากให้มองข้าม

เราต้องทำให้มันถูกต้องให้มากไว้ก่อน
พยายามแยกน้ำใสออกมาให้มาก
บางทีได้ต้มออกมาได้น้ำใสครึ่งแก้ว
แต่ถ้าต้มกันจริงๆ จะได้น้ำใสหนึ่งแก้ว
ผงจะเหลือค่อนลงไปไม่ถึงครึ่งแก้ว

แต่วันนี้เราเคี่ยวไป แห้งแค่ครึ่งแก้วเอง
วันต่อไปก็ไปเคี่ยวต่ออีก
จนกระทั่งแยกผงกับน้ำออกมาให้ชัดเจน

นั่นคือความสำเร็จของเราว่า
แยกรูปแยกนามได้ชัดเจน เป็นปรมัตถ์
แล้วรูปก็จะไม่เกิดอีก
แต่ร่างกายก็ยังทุกข์อยู่

พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

อย่าทำเป็นเล่นไป

พระพุทธเจ้าร่างกายยังทุกข์เหมือนเดิม
ตอนที่พระเทวทัตกลิ้งหินใส่ไปถูกเท้าท่าน
หมอชีวกต้องมารักษาอยู่หลายวัน
อันนี้เป็นวิบากอยู่
กายรับวิบากกรรมถ้วนหน้า

เราจะทำเล่นๆ เผลอๆ เพลินๆ ไม่ได้
ต้องทำอย่างเข้าใจ
ถ้าไม่เข้าใจก็มีปัญหาอีก
เบื่อ เครียด รำคาญ หงุดหงิด

ถ้าทำด้วยความเข้าใจ
จะเบาสบาย ปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย มีความสุข
เป็นตัววัดว่าทำถูกหรือผิด
ดูว่าปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย สบาย หรือเปล่า

ทำไปแล้วร่างกายมันเกร็ง นั่งทั้งวัน
ก็นอนลงบ้าง จะนั่งให้เครียดทำไม

แต่ระวังไม่ให้สบายเกินไป
หลวงพ่อไม่ได้ห้ามไม่ให้นอน
แต่ให้นอนเพื่อบำบัดทุกขเวทนา
แต่อย่าลืมว่าบำบัดได้แค่พอดี
ถ้าเกินพอดีก็หลับไปเลย

จะบอกว่าหลวงพ่อย่อหย่อนเกินไปให้นอน
แต่ความจริงแล้ว เอาไปใช้ไม่ถูก

ขออนุโมทนาสาธุในความตั้งใจที่จะศึกษา
เรียนรู้ในเรื่องนี้ต่อไป จนสามารถที่จะ
แยกกาย แยกใจ แยกทุกข์ แยกจิต
ออกชัดเจนด้วยกันทุกคนทุกท่านเทอญ

พระพุทธยานันทภิกขุ

 

ไฟล์เสียงชุด ครุสติรีทรีท (๑๑-๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙)

One thought on “พระธรรมเทศนา ธรรมวิจัยในรูปนาม

Comments are closed.