ค้นหาความจริงของชีวิตจิตใจ

ทำไมเราจึงต้องเกิด?

ทุกอย่างในโลกทั้งหมด
มันเริ่มต้นที่เรามีชีวิตจิตใจ
เพราะมีเราจึงมีโลก
 
เพราะมีโลก
เราจึงเป็นศูนย์กลางของสิ่งมีชีวิต
ถ้าไม่มีชีวิตของเราเกิดขึ้น
ไฉนเลยจะรู้ได้ว่า
โลกนี้มีอยู่จริง
รากเหง้าดั้งเดิมของชีวิต
จึงประกอบด้วยสิ่ง 2 สิ่ง
คือชีวิตกับจิตวิญญาณ
 
ที่ทั่วไปเรียกว่า กายกับใจ
หรือรูปกับนาม
 
ธรรมชาติของสองสิ่งนี้
ต้องมีที่มาหรือประวัติศาสตร์
ว่ามันเป็นมาอย่างไร
หรือเป็นผลผลิตออกมาจากอะไร?
 
เบื้องต้นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อน
ว่าเราจะนิยามชีวิตที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
จะไม่สืบสาวไปไกลถึงอดีตอนาคต
อันยาวไกลของมัน
 
ดังนั้น เราจึงตั้งต้นที่ว่ารูปกับนาม
หรือกายกับใจ
มันเริ่มต้นมาจากสิ่งเดียวกัน
คือ “จิตวิญญาณ”
 
เมื่อจิตวิญญาณ ให้กำเนิดชีวิต
จึงเรียกมันใหม่ว่า “ชีวิตจิตใจ”
 
จิตวิญญาณของแต่ละคน
ได้ก่อเกิดมาจากพลังงาน
ของธรรมชาติชนิดหนึ่ง
ที่เรียกว่า “กรรมหรือมโนกรรม”
นั้นคือการเกิดและการดับ
ของธรรมชาติภายใน
 
พลังงานส่วนนี้
ดั้งเดิมกำเนิดมาจากอะไร?
เราจะไม่ย้อนหลังไปไกลกว่านี้
 
ความจริงขั้นปรมัตถ์กล่าวว่า
พลังงานธรรมชาตินี้ ดำรงอยู่ได้
เพราะมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
การเคลื่อนไหวนี้เอง
ทางพุทธศาสนาให้นิยามว่า “การเกิดดับ”
 
ธรรมชาติของพลังส่วนนี้
มีประวัติศาสตร์แห่งการพัฒนาการ
มายาวนาน ไม่อาจรู้ว่าเริ่มต้นกันเมื่อไร
 
ที่พระพุทธเจ้าของเราเคยกล่าวไว้ว่า
“วัฏฏสงสารนี้ยาวนาน
มีเบื้องต้นและที่สุดอันไม่อาจนับได้”

tumblr_mb32r2jPBS1qa9gw1o1_400

อะไรทำให้เราต้องมาเกิด?

ธรรมชาติแห่งพลังบริสุทธิ์นี้
(ศาสนาอื่นอาจจะเรียกว่า“พระเจ้า”)
อุบัติเกิดขึ้นเพราะกฎ
(ออกเสียงคล้ายๆคำว่า GOD)
ของจักรวาลสามประการ
ที่เรียกต่อมาว่า “ไตรลักษณ์”
คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นเอง
 
การทำงานของกฎไตรลักษณ์
มี 3 ลักษณะ คือ
1. เปลี่ยนแปลง ไม่คงที่ (อนิจจัง)
2. ไม่อยู่ในสภาพเดิม แปรปรวน (ทุกขัง)
3. ไม่มีรูปแน่นอน แตกดับแปรเปลี่ยน
เป็นรูปใหม่ตลอดเวลา (อนัตตา)
 
ด้วยการงานของธรรมชาติ 3 ประการ
จึงก่อให้เกิดอาการ
ของธรรมชาติสากล 2 ประการ
คือ “ธรรมชาติเกิดและธรรมชาติดับ”
 
ธรรมชาติเกิด
ถูกเรียกเป็นภาษาบาลีว่า
“อุบัติหรืออุปัตติ”
คือ เกิดหรือก่อกำเนิด
 
และธรรมชาติที่ดับลง
เรียกว่า “จุติหรือดับ-หายไป”
 
ธรรมชาติของการเกิดและดับ
เป็นการทำงานของกฎไตรลักษณ์
คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง

กฎอันแน่นอนของธรรมชาติ

แต่เนื่องจากมันเป็นกฎ
ของลักษณะที่สาม คือ อนัตตา
มันไม่อาจดำรงอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง
ต้องอาศัยกันเกิดขึ้น
พระโคดมพุทธะ จึงเรียกกฏนี้ว่า
“นิยาม หรือ ธรรมนิยาม”
 
“นิยาม” แปลว่า “ กฎอันแน่นอน”
คือความเป็นไปอันมีระเบียบแน่นอน
ของธรรมชาติ
หรือกฎของธรรมชาติ
มี 5 อย่าง คือ
 
อุตุนิยาม
(กฎธรรมชาติเกี่ยวกับอุณหภูมิ
หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ
โดยเฉพาะ ดิน น้ำ อากาศ
และฤดูกาล
อันเป็นสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิต)
 
พีชนิยาม
(กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการสืบพันธุ์
มีพันธุกรรม เป็นต้น)
 
จิตนิยาม
(กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของจิต)
 
กรรมนิยาม
(กฎธรรมชาติเกี่ยวกับ
พฤติกรรมของมนุษย์
คือกระบวนการให้ผล
ของกรรม-การกระทำ)
 
ธรรมนิยาม
(กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความสัมพันธ์
และอาการที่เป็นเหตุเป็นผล
ของกันและกันแห่งสรรพสิ่งทั้งหลาย)
 
ในนิยามทั้ง 5 นั้นคือ
กฎของธรรมชาติโดยรวมทั้งจักรวาล
แต่ในการนำเสนอในเรื่องนี้
จะขอเป็นเรื่องกฎข้อสุดท้าย
คือ “ธัมมนิยาม”
 
เพื่อให้ประเด็นแคบเข้าสู่เรื่อง
ของหลักวิปัสสนา
ภาคปฏิบัติโดยเฉพาะ
 
การทำงานของกฎธรรมชาติ
ที่เรียกว่า ธัมมนิยาม
เกิดจากการทำงาน
ของนิยามทั้ง 4 ย่อเข้าเหลือ 3
 
การทำงานของพีชนิยาม
และอุตุนิยาม
เรียกว่า “รูป”
สร้างการเกิดขึ้นของรูปหยาบ
 
การทำงานของจิตนิยาม
และกัมมนิยาม
เรียกว่า “นามรูป”
 
คือการแปรเปลี่ยนจากรูปหยาบ
มาเป็นรูปละเอียด
 
การทำงานของธัมมนิยาม
คือทำให้ทั้งรูปหยาบและรูปละเอียด
กลับมาเป็นพลังบริสุทธิ์
ที่เรียกว่า “จุติ” หรือ “ดับ”
เรียกว่า “นิพพาน”
 
เป็นส่วนหนึ่งของพลังงานปรมัตถ์
หรือเรียกว่า “โลกุตตรธรรม”

giphy

ลมหายใจมาจากไหน?

กลไกลการทำงานของธรรมชาติ
ที่เริ่มขึ้นเป็นชีวิตจิตใจ
เริ่มต้นอย่างไร?
 
“เราจะเริ่มต้นกันขณะปัจจุบัน”
เพื่อสะดวกแก่การเจริญธรรมวิจัย
ไปสู่ธรรมนิยาม
ตามหลักวิปัสสนาต่อไป
 
เริ่มต้นกันที่ลมหายใจ
เป็นธรรมชาติที่เป็นตัวกลาง
ของธาตุทั้งหก คือ
ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณ
 
ลมจึงเป็นตัวเชื่อมระหว่าง
รูปหยาบ รูปกลาง รูปละเอียด
เข้าด้วยกันได้อย่างกลมกลืน
 
ลมอาศัยอากาศธาตุ
เป็นตัวกลางนำไปสู่วิญญาณธาตุ
 
และลมก็อาศัยอากาศธาตุ
นำไปสู่ธาตุฝ่ายรูปหยาบ
อีกสามตัวได้ด้วย
(ดิน น้ำ ไฟ)
 
เพราะธาตุลมและอากาศ
เป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน
และอากาศธาตุก็เป็นเหตุปัจจัย
ของวิญญาณธาตุไปด้วย
 
คนเราเมื่อสิ้นลมหายใจ
ก็ถือว่าสูญสิ้นหมดทุกธาตุ
ในด้านรูปธรรม
 
ส่วนนามธรรม
เมื่อวิญญาณธาตุแตก
นามธาตุก็แปรสภาพไป
ตามกฎธรรมชาติ
 
ถ้านามธาตุนั้นบริสุทธิ์
ก็แปรเป็นพลังบริสุทธิ์
 
ถ้านามธาตุนั้น ยังไม่บริสุทธิ์
เพราะยังมีอาสวะเหลืออยู่
นามธาตุนั้น ก็เปลี่ยนสภาพ
ไปตามกฎของกรรม

อยู่เหนือไตรลักษณ์ ต้องชำระวิญญาณธาตุ

การเคลื่อนไหวของธาตุลม
มีอิทธิพลต่อรูปธาตุทั้งปวง
 
การเคลื่อนไหวของรูปธรรม
จะทำงานได้เพราะธาตุลม
แต่การเคลื่อนไหวของนามธรรม
อาศัยการทำงานของวิญญาณธาตุ
 
ดังนั้น วาโยธาตุ และวิญญาณธาตุ
จึงทำงานพร้อมกันอย่างแยกไม่ได้
 
ธาตุทั้ง 5 คือ
ปฐวี อาโป วาโย เตโช และอากาศ
ต้องแปรปรวนไปตาม
กฎของไตรลักษณ์โดยฝ่ายเดียว
 
แต่วิญญาณธาตุ
สามารถเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง คือ
อยู่เหนือกฎของไตรลักษณ์ก็ได้
อยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ก็ได้
 
วิญญาณธาตุอยู่ภายใต้
กฎของไตรลักษณ์
เพราะวิญญาณธาตุนั้น
ยังมีอาสวธรรมหลงเหลืออยู่
 
กฎของไตรลักษณ์
ทำงานภายในจิตวิญญาณได้
เพราะอาศัยกฎของกรรม
 
กฎของกรรมจึงเป็นกฎที่
ทำหน้าที่ใต้อำนาจของอาสวธรรม
 
แต่ถ้าวิญญาณธาตุ
ได้ถูกชำระให้หมดจดจากอาสวะแล้ว
วิญญาณธาตุนั้น
ก็อยู่เหนือกฎของไตรลักษณ์
ได้โดยสิ้นเชิง

กฎไตรลักษณ์ครอบงำเราอยู่

กฎของไตรลักษณ์เป็นใหญ่
สามารถครอบงำในธรรมชาติ
ที่เป็นรูปธรรมทั้งหลายทั้งปวง
 
กฎแห่งกรรมเป็นใหญ่
ครอบงำธรรมชาติ
แห่งนามธรรมทั้งปวง
 
ดังนั้น ผู้คนที่ยังไม่อาจ
ทำลายอาสวะ
ออกจากจิตวิญญาณได้
ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด
ภายใต้กฎของไตรลักษณ์
และกฎไตรกรรม
(กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม)
 
การอุบัติขึ้นของพระโคดมพุทธะ
และองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทุกพระองค์
 
จึงอุบัติขึ้นเพื่อชี้นำกฎแห่งไตรสิกขา
แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายให้ปฏิบัติตาม
เพื่อปลดเปลื้องกฎแห่งกรรม
ออกจากจิตวิญญาณ
ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
 
แต่รูปธาตุของคนผู้สิ้นอาสวะแล้ว
ก็ยังอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์อยู่
อย่างเดิมทุกประการ
 
คนที่สิ้นอาสวะและยังมีอาสวะอยู่
มีสิทธิ์เสมอกันในกฎของไตรลักษณ์
แต่แตกต่างในกฎของกรรม
 
ดังนั้นกฎของไตรลักษณ์
จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
“สามัญญลักษณะ”
 
เพราะธรรมชาติของรูปธาตุทั้งมวล
ล้วนตกอยู่ภายใต้ของกฎของ
สามัญญลักษณ์นี้
ไม่ว่าธรรมชาตินั้น
จะเป็นรูปนามหรือนามรูป
รูปภพ อรูปภพ รูปฌาน อรูปฌานก็ตาม

taw11

กฎแห่งกรรมคือพลังขับเคลื่อนของไตรลักษณ์

สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ที่เจริญแล้วด้วยวุฒิปัญญา
เมื่อได้ตระหนักรู้
เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
คือการเวียนว่ายตายเกิด
ด้วยอำนาจกฎแห่งกรรม
 
ย่อมเริ่มต้นด้วยการ
เสาะแสวงหาวิธีการ
ที่จะทำตนให้พ้นไปจาก
กฎแห่งกรรม
 
คือหาวิธีการทำลาย
อาสวธรรมทุกชนิด
อันเป็นต้นตอ
ของกฎแห่งกรรมทั้งมวล
 
การเริ่มต้นการแสวงหาวุฒิปัญญา
จึงเป็นหน้าที่สำคัญ
ประการแรกของมนุษย์ทุกคน
 
เพราะวุฒิปัญญาจะทำให้
เกิดการตระหนักรู้ถึงภัยของทุกข์
อันเกิดจากการเวียนว่ายตายเกิด
ของรูปธรรม นามธรรม
ที่อยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์
และกฎแห่งกรรม
 
วุฒิปัญญาจะเจริญเติบโต
ในทางที่ถูกต้องได้
ต้องสามารถทำให้เกิดความรู้
ความเข้าใจในกฎแห่งกรรม
 
เหตุเกิดของกรรม
การดับกรรม
และมรรควิธีของการดับกรรมได้
 
ต้องอาศัยการศึกษา
ที่ดำเนินตามกฎของไตรสิกขา
จนกว่าจะเกิดโลกุตตรปัญญาได้เท่านั้น
จึงสามารถอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้

taw9

อยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้ด้วยไตรสิกขา

อะไรคือกฎของไตรสิกขา?
เมื่อจักรวาลเริ่มต้นด้วย
ภาวะเกิดและดับตลอดเวลา
มันจึงก่อให้เกิดพลังงาน
การเคลื่อนไหว แปรปรวน
และแตกดับ
 
มาจากส่วนลึกสุดคือ
การเกิด-ดับ
ดังนั้นกฎไตรลักษณ์คือ
ตัวขยายของกระบวนการเกิด
 
และไตรสิกขาก็คือ
ขบวนการขยายผล
ของการดับนั่นเอง
 
กฎทั้งสองอย่างนี้
มันได้เริ่มต้นมาพร้อมๆ กับ
การเกิดขึ้นของจักรวาล
 
มันมีวิวัฒนาการมานาน
เท่าไรไม่มีใครทราบแน่นอนได้
จนกระทั่ง มหาบุรุษอ
ย่างพระพุทธเจ้า
ได้อุบัติขึ้นในโลกในแต่ละยุค
 
ท่านจึงได้มาเปิดเผย
ความลี้ลับของจักรวาลทั้งหมด
ให้เราได้ทราบว่า
 
ในการเกิดก็มีการดับตามมาด้วย
และในการดับ ก็มีการเกิดตามมาด้วย
 
เมื่อมีไตรลักษณ์
ก็มีไตรสิกขาตามมาด้วย
 
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
ทรงทำหน้าที่ในการ
เปิดเผยความจริงตรงนี้เท่านั้นเอง

taw1

ไตรสิกขาคือศึกษาทุกข์

ดังที่มีพุทธพจน์ได้ตรัสว่า
“เราตถาคตอุบัติในโลกนี้
ก็เพื่อมาทำหน้าที่ชี้บอกว่า
 
ในจักรวาลนี้มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น
มีแต่ทุกข์เท่านั้นดับไป
ถ้าไม่มีทุกข์และการดับทุกข์
เราตถาคตก็ไม่จำเป็น
ต้องอุบัติขึ้นมาในโลกนี้เลย”
 
ดังนั้น พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
จึงตรัสรู้หลักอริยสัจสี่
เหมือนกันทุกพระองค์
 
อริยสัจสี่โดยหลัก ก็คือ
ทุกข์+สมุทัย = การเกิดทุกข์
นิโรธ+มรรค = การดับทุกข์
 
ขบวนการในการศึกษา
เรื่องทุกข์และการดับทุกข์
จึงต้องอาศัยขบวนการ
การศึกษาเรื่องของไตรสิกขา
คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
เข้ามาช่วยขยายความว่า
 
อะไรคือทุกข์
อะไรคือเหตุเกิดทุกข์
อะไรคือการดับทุกข์
และอะไรคือวิธีการดับทุกข์

taw6

ต้องศึกษาให้ครบทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ

ขบวนการศึกษา
แบบพุทธศาสนาที่ถูกต้องนั้น
ต้องศึกษาแบบบูรณาการ คือ
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เข้าด้วยกัน
 
ด้วยผ่านขบวนการปฏิบัติ
สมถะและวิปัสสนาไปพร้อมๆ กัน
 
และบูรณาการหลักธรรมอื่นๆ
เข้าไปทำหน้าที่ต่างๆ ในขณะปฏิบัติ
ซึ่งจะทำให้หลักไตรสิกขา
ดำเนินไปพร้อมๆ กัน
 
เราเริ่มมีชีวิตจากการ
หายใจเข้าและหายใจออก
 
หายใจเข้า สืบเนื่องมาจากการเกิด
หายใจออกสืบเนื่องมาจากการดับ
ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้
 
ดังนั้น การทำงานของ
ลมหายใจทั้งเข้าและออก
จึงชี้บอกถึงการดำรงอยู่
ของการเกิดและการดับ
ของจิตวิญญาณ
ที่เราไม่อาจรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส
 
การมีอยู่ของลมหายใจ
เป็นเครื่องชี้บอกถึงการมีชีวิต
 
การทำงานร่วมกันของกายกับใจ
ก็คือปรากฏการณ์
ของการเกิดดับทางจิตนั่นเอง
 
ดังนั้น ชีวิตจึงดำรงอยู่บนพื้นฐาน
ของการเกิดดับตลอดเวลา
 
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจึงเป็นผลสืบเนื่อง
ออกมาจากกฏของธรมชาติสองสิ่งนี้
 
ดังนั้น สิ่งที่เป็นรูปธรรมทั้งหลายทั้งปวง
จึงถูกสร้างขึ้นไปเรื่อยๆ
ด้วยกฎธรรมชาติอันนี้

taw2

เริ่มต้นศึกษาจากรูปธรรม

เริ่มต้นจากรูปธรรม
การเกิดดับทางรูป
เรารับรู้จากการมีลมหายใจเข้า
และหายใจออก
 
การหายใจเข้าและออกนี้เอง
ทำให้ชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้
และชีวิตก็ได้ให้กำเนิดความรู้สึก
สองรูปแบบ คือ
ความรู้สึกทางกาย
และความรู้สึกทางใจ
 
ความรู้สึกทางกาย
(กายสังขารหรือเวทนา)
แบ่งเป็นสองลักษณะ คือ
รู้สึกสบาย และรู้สึกไม่สบาย
 
ความรู้สึกไม่สบายเกิดขึ้นก่อน
อันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก
การเกิดของจิต
(เพราะการทำหน้าที่
ของกฎไตรลักษณ์)
 
ความรู้สึกสบายก็ตามมา
อันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก
การดับของจิตนั่นเอง
 
ดังนั้น ความรู้สึกทางกาย
ทั้งสองแบบ
ก็เป็นผลของการเกิดดับ
ของจิตเหมือนกัน
 
ความรู้สึกตัว
จึงเป็นผลรวมของ
ความรู้สึกสบายและไม่สบาย
อันสืบเนื่องมาจาก
การเกิดและการดับ
 
ดังนั้น ความรู้สึกตัว
จึงมิใช่ภาวะเกิดและดับ
อย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่เป็นผลรวม
 
อุปมาเหมือนกองไฟ
อาการของไฟ
เป็นการทำงานของการเกิดดับ
แต่แสงไฟ
เป็นผลรวมของกองไฟ
 
ดังนั้น แสงไฟจึงมิใช่กองไฟ
แสงจึงไม่เป็นรูป
ของความเย็นหรือร้อน
 
แสงเป็นเพียงปรากฏการณ์
การเกิดดับของไฟฉันใด
 
ความรู้สึกตัวจึงเป็นปรากฏการณ์
การเกิดดับของจิตฉันนั้น

taw5

ต่อมาศึกษาเวทนา สะพานเชื่อมรูปธรรมสู่นามธรรม

ความรู้สึกตัวเป็นพลังบริสุทธิ์
เรียกว่า นาม
 
นามเป็นพลังรู้บริสุทธิ์ตามธรรมชาติ
ซึ่งเกิดจากรูป
เหมือนแสงไฟเกิดจากกองไฟ
ความรู้สึกที่อาศัยรูปเกิดนี้เอง
จึงเรียกว่า “เวทนา”
 
และเวทนาก็สร้างความรู้สึกขึ้นมาใหม่
อีก 3 อาการคือ ความรู้สึกสบาย ไม่สบาย
และรู้สึกกลางๆ (สุข ทุกข์ อทุกขมสุข)
 
ความรู้สึกที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง
เชื่อมต่อระหว่างกายกับใจเข้าถึงกัน
เรียกว่า “เวทนา”
 
ดังนั้น เวทนาจึงเป็นได้ทั้งรูปและนาม
และความรู้สึกที่เป็นเวทนา
จึงทำหน้าที่ได้ทั้งสองฝ่าย
คือฝ่ายรูปนาม และฝ่ายนามรูป
 
ความรู้สึกที่ปรากฏในรูปนาม
ทำหน้าที่โดยอาศัยธาตุทั้งหก
(ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณ)
เป็นที่ตั้ง
 
ส่วนความรู้สึกที่ปรากฏในนามรูป
ทำหน้าที่โดยอาศัยขันธ์ทั้งห้า
(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
เป็นที่ตั้ง
 
เวทนาในรูปนาม จึงเป็นความรู้สึก
ที่เป็นธรรมชาติของรูป
และทำหน้าที่เป็นสัญชาตญาณ
ป้องกันรูปให้ดำรงอยู่ได้
โดยไม่ให้วิบัติไปด้วยอันตรายต่างๆ
ซึ่งมีอยู่ในทุกๆ สรรพชีวิต
 
ไม่ยกเว้นแม้แต่ชีวิตที่เล็กที่สุด
เช่นเหลือบ ยุง ลิ้น ไร
ก็มีเวทนาประจำกายของมัน
เมื่อภัยเกิดขึ้นมันก็รู้จักหลบหลีก
ด้วยเวทนาประเภทนี้
 
ดังนั้น วิญญาณในธาตุหก
จึงทำหน้าที่เป็นเพียงสัญชาตญาณ
 
เวทนา ในนามรูป ที่อาศัยขันธ์สี่
คือรูป สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นที่ตั้ง
สามารถพัฒนาตัวเองร่วมกัน
กับสัญญาและสังขาร
แล้วทำหน้าที่ของวิญญาณ
 
ดังนั้นเวทนาในขันธ์ห้า
จึงให้ก่อเกิดวิญญาณหก
(จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ
ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ
กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ
คือความรู้สึกที่เกิดจาก
ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
เมื่อกระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส) ได้ด้วย

taw3

ศึกษาขั้นสูงขึ้นไปอีก จนถึงมโนวิญญาณ

เวทนาในขันธ์ห้า
ทำหน้าที่ของมโนวิญญาณ
มโนวิญญาณสามารถสร้างความรู้สึก
ทั้งทางกายและทางใจได้
 
เวทนาทางกาย
ทำให้เรารู้สึกถึงความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง
เคร่งตึง เจ็บ หิว กระหาย เป็นต้น
 
เวทนาทางรูปอันเป็นสัญชาตญาณ
ทำหน้าที่เตือนให้สัตว์ทั้งหลาย
เอาตัวรอดจากภัยพิบัติต่างๆได้
สัตว์จึงสร้างสิ่งต่างๆ
เพื่อป้องกันตนเองให้อยู่รอด
ด้วยอาศัยเวทนา
ที่เป็นสัญชาตญาณทางกายวิญญาณ
 
กายวิญญาณเป็นวิญญาณฝ่ายรูปนาม
แต่มโนวิญญาณ สามารถเป็นวิญญาณได้
ทั้งสองฝ่ายคือรูปนามและนามรูป
 
ความรู้สึกที่เป็นมโนวิญญาณ
ที่รับรู้ได้ทางอายตนะทั้งหก
สามารถพัฒนาเปลี่ยนแปลง
จากสัญชาตญาณให้เป็นปัญญาญาณได้
 
โดยอาศัยความรู้สึกจากมโนวิญญาณ
มาทำหน้าที่ตามรู้เวทนา
ในรูปนามบ่อยๆ และอย่างต่อเนื่อง
 
อุปมาดังการนำวัตถุสองชิ้น
มาสีเข้าด้วยกัน
ย่อมทำให้เกิดความร้อนได้
และถ้าได้เงื่อนที่เหมาะสม
ก็สามารถเกิดเป็นประกายไฟได้
 
ความร้อนหรือไฟ
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ได้ ฉันใด
ตัวรู้ที่เกิดขึ้นใหม่
โดยอาศัยการตามรู้บ่อยๆ
ของมโนวิญญาณ
และเวทนาในรูปนาม
ปรากฏออกมาเป็นตัวรู้ต่างหากได้
ที่เรียกว่า “ปัญญาญาณ”
 
มโนวิญญาณ คือความรู้สึกเฉยๆ
เป็นความรู้สึกเดิมแท้ของจิต
ที่เป็นไปใน “รูปนาม”
 
เมื่อได้เงื่อนในการพัฒนาที่ถูกต้อง
(มีการเรียนรู้ถึงเรื่องของอินทรีย์ห้า
และพัฒนาให้เป็นพละห้า
คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา)
ก็สามารถแยกความรู้สึกในรูปนาม
ออกมาออกมาเป็นนามล้วนๆ คือ
ความรู้สึกบริสุทธิ์ได้
 
อุปมาเหมือนกับการเปลี่ยนน้ำกะทิ
ให้เป็นน้ำมันต่างหากได้
โดยอาศัยเงื่อนไข
หรือขบวนการที่ถูกต้อง

taw10

ก็จะเริ่มเห็นสมมติ ปรมัตถ์

ความรู้สึกตัวที่เป็นนามล้วนๆนั้น
สมมติเรียกว่า “ปรมัตถ์”
(จิต เจตสิก รูป นิพพาน)
 
ความรู้สึกตัวล้วนๆ
ที่เป็นเพียงมโนวิญญาณแต่แรกนั้น
สามารถพัฒนาให้เป็นปรมัตถ์ได้
โดยอาศัยขบวนการของสติปัฏฐานสี่
 
ส่วนที่เรียกว่า “สัจจธรรม”นั้น
จึงถูกแยกออกเป็น 2 ลักษณะคือ
สัจจธรรมของรูป
เรียกว่า “สมมุติสัจจะ”
สัจจธรรมของนาม
เรียกว่า “ปรมัตถสัจจะ”
 
ความจริงต่าง ๆ
ที่ถูกสมมติขึ้นจากฝ่ายรูปหรือนาม
ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป
ตามกฎของไตรลัษณ์
 
แต่ความจริงที่ไม่ถูกสมมติ
คือไม่ได้สร้างขึ้นจากความคิดปรุงแต่ง
ไม่ถูกบัญญัติจากรูปของจริง
เรียกว่าปรมัตถ์
 
เช่น จิต คือสภาวะรับรู้
เจตสิก คืออาการของจิต
ที่หน้าที่รับรู้อารมณ์
รูป ก็คือสภาวะธรรมที่ถูกรู้
นิพพาน ก็คือสภาวธรรมที่รับรู้
การเกิดและดับของจิต
 
รวมหน้าที่ของสภาวะรู้ล้วนๆ ทั้งหมด
เรียกว่า “โลกุตตรธรรม”
 
โลกุตตรธรรม จึงเป็นธรรม
ที่อยู่เหนือสมมติบัญญัติทั้งปวง
คือสภาวธรรมที่พ้นไป
จากความเป็นคู่
เช่น เหนือสุข เหนือทุกข์
เหนือดี ชั่ว เหนือถูก เหนือผิด เป็นต้น
 
แต่ทำหน้าที่เป็นผู้รู้สมมติสัจจะ
ทั้งหมดทั้งปวง
 
สภาวธรรมนี้เอง
จึงถูกเรียกว่า “พุทธภาวะ”
คือภาวะตื่น รู้ ซึ่งมีอยู่ในคนทุกคน
ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธโคตรมะ (สิทธัตถะ)
ได้นำมาแสดงและเปิดเผยให้แก่มนุษยชาติ
เป็นเวลานานถึง 26 ศตวรรษมาแล้ว

พระพุทธยานันทภิกขุ