ตัวรู้อยู่เหนือเกิดดับ

ญาณหรือตัวรู้ตั้งอยู่เหนือการเกิดดับ

มีสิ่งหนึ่งที่อยู่เหนือทั้งการเกิดและการดับ
แม้ว่ามันจะเป็นผลเนื่องมาจากการเกิดการดับก็ตาม
เพราะมันเป็นสภาวะอยู่เหนือการควบคุม
ของกฏไตรลักษณ์
 
สภาวะธรรมนี้ เรียกว่า
“ตัวรู้ หรือญาณปัญญา”
 
ญาณ เป็นตัวรับรู้สภาวะธรรมทั้งปวง
ไม่ว่าจะป็นการเกิดดับของจิตและอารมณ์
หรือการหยุดการเคลื่อนของกาย
และเวทนาก็ตาม
 
การหยุดการเคลื่อนแบบไม่รู้ตัว
เรียกว่า “สัญชาตญาณ”
การหยุดและการเคลื่อนอย่างรู้เนื้อรู้ตัว
เรียกว่า “ปัญญาญาณ”
 
ตัวรู้หรือญาณ แม้มันจะเกิดในขันธ์ห้า
คือ รูป เวทนา สัญญาณ สังขาร วิญญาณก็ตาม
แต่มันเกิดด้วยเจตนาที่ประกอบด้วยวิชชา
 
แต่ถ้าตัวรู้นั้น มันเกิดด้วยอำนาจอวิชชา
มันจึงเป็นการเกิดด้วยวิญญาณขันธ์
 
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ค้นพบตัวรู้ใหม่
หรือสัญญาใหม่ จึงเรียกการค้นพบใหม่นี้
เป็นการตรัสรู้ด้วยโพธิปัญญาของพระองค์เอง
เพราะเป็นรู้เห็นการเกิดและการดับของจิต
อันเกิดจากขันธ์ห้า
 
ดังนั้น พระโคตมะศากยะบุตร
จึงเป็นผู้รู้ ผู้เห็น สภาวะตัวตื่น รู้ และเบิกบาน
ซึ่งเป็นผู้ค้นพบ “พุทธภาวะ” ในใจของมนุษย์
ซึ่งมีอยู่แล้วในตัวของคนทุกคน
 
ท่านจึงได้พระนามใหม่ว่า “พระสัมมามัมพุทธะ”
ซึ่งแปลว่า ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ด้วยพระองค์เอง
(ไม่มีใครเป็นครูอาจารย์สอนเรื่องนี้แก่ท่านมาก่อนเลย)
เราจึงเรียกตัวรู้ตัวนี้ว่า”ญาณ” หรือปัญญาญาณ
แทนที่จะเรียกว่า “วิญญาณ”
 
ด้วยเหตุนี้ ขันธ์ห้าที่ทำหน้าที่ด้วยเจตนา
อันประกอบด้วยวิชชา
จึงเรียกว่า ไตรขันธ์หรือไตรสิกขา
คือ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ และปัญญาขันธ์
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ Buddhism Vipassana วิปัสสนา ศาสนาพุทธ พุทธศาสนา

ตัวรู้ผู้ดับทุกข์

เพราะเหตุไรจึงไม่เรียกวิญญาณ
ที่เกิดในขันธ์ห้าว่าปัญญาญาณ?
เพราะวิญญาณเกิดจากอายตนะภายใน
และภายนอกกระทบกัน จึงเกิดขึ้น
 
ดังนั้น ทุกคนจึงมีตัวรู้หรือพุทธภาวะ
หรือ”โพธิปัญญา” อยู่ในใจพร้อมแล้ว
เพียงแต่อาศัยผู้รู้มาชี้ให้รู้จักเท่านั้นเอง
 
เหมือนในหินหรือพื้นดินนี้
มีอัญญมณีอันล้ำค้าแฝงฝังอยู่แล้ว
แต่เราไม่รู้จักวิธีนำมาขึ้นมาใช้
 
เมื่อมีนายช่างผู้รู้จักประโยชน์ของมันมาชี้นำ
เราจึงเห็นประโยชน์และคุณค่าของมัน
ฉันใดก็ฉันนั้น
 
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมเราต้องอาศัยท่านผู้รู้
มาแนะนำให้เรามารู้เห็นความสำคัญ
ของการเจริญสติ
 
ก็เพื่อให้เรารู้ว่า
ในจิตนี้มันมีสิ่งมีค่าสูงสุดอาศัยอยู่
แต่เรายังไม่รู้จักตัวรู้ตัวนี้ว่า
มันมีประโยชน์อย่างไร
 
เมื่อเราได้เจริญสติจนเกิดตัวรู้
หรือญาณปัญญาอย่างถูกต้องแล้ว
ตัวรู้นี้ก็จะสามารถเข้าไปรู้จักทุกข์
เหตุเกิดทุกข์ การดับทุกข์
และวิธีการทำให้ถึงที่สิ้นสุดของทุกข์ได้
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ Buddhism Vipassana วิปัสสนา ศาสนาพุทธ พุทธศาสนา

ตัวรู้คือธรรมจักษุ 

ฉะนั้น เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาครั้งแรก
เรื่อง ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร
ท่านใช้คำ”ตัวรู้” นี้เป็นภาษาของท่านว่า “ธรรมจักษุ”
 
หรือที่เราสวดเป็นบาลีว่า
“จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ
ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ
อาโลโก อุทะปาทิ
แปลว่า ดวงตาธรรมคือ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง
เกิดขึ้นแล้วแก่เรา”
 
เพราะฉะนั้น การเกิดตัวรู้ หรือญาณปัญญานี้
จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ตาในหรือตาปัญญา”
เวลาเราสวดธัมมจักร
ทุกคนเคยสวดพบคำศัพท์บาลีตรงนี้หลายแห่ง
เพราะเราต้องสวดซ้ำๆ กลับไปกลับมาถึง 12 รอบ
 
ตามตัวอย่างที่กล่าวมาเบื้องต้นแล้ว
ท่านบอกว่าสิ่งนี้ท่านไม่เคยเห็นมาก่อน
ไม่มีใครรู้มาก่อน
“อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ”
ไม่เคยรู้ไม่เคยได้ยินใครพูดเรื่องนี้มาก่อน
เพราะฉะนั้นจักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา
เพราะรู้อย่างนี้คือตาในเกิดขึ้นแล้วแก่เรา
 
ตัวรู้นี้ก็คือตาใน แยกออกมาเป็นสี่อย่างคือ
ญาณ วิชชา ปัญญา และแสงสว่าง
ได้ชื่อว่าธรรมจักษุนั่นเอง
พระพุทธยานันทภิกขุ หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท Direk Saksith Deva Nanda การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ Buddhism Vipassana วิปัสสนา ศาสนาพุทธ พุทธศาสนา

เกิดขึ้นย่อมดับไป

เพราะฉนั้น คนที่แรกที่เข้าใจเรื่องนี้
หลังจากที่ท่านสอน
คือพระอัญญาโกณฑัญญะ
ชื่อเดิมของท่านคือโกณฑัญญะ
พอมารู้เรื่องนี้ท่านใช้ชื่อใหม่ว่า อัญญา
คือได้รู้แล้ว
 
ท่านจึงใช้ชื่อใหม่ว่า พระอัญญาโกณฑัญญะ
เพราะท่าน เข้าใจตัวรู้ตัวเป็นคนแรก
เพียงรูปเดียวได้ดวงตาเห็นธรรม
 
ดังนั้น ท่านจึงเปล่งอุทานออกมา
เป็นภาษาที่เราเข้าใจได้ว่า
“ อ๋อ..มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”
(ยังกิญจิ สมุทยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ)
แปลว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเกิดขึ้นแล้ว
มันก็ดับไปเอง
 
ความจริงแท้มันมีแค่สองอย่างเท่านั้นเอง
มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสรรพสัตว์
และสรรพสิ่งในโลกนี้
 
พอท่านรู้อย่างนี้ มันทำให้ความสำคัญมั่นหมาย
ความเป็นสภาวะตัวตนต่างๆ ของท่าน
ดับสลายไปทันทีเลย
 
เห็นตัวเองเป็นผลพวงของการเกิด
และการดับเท่านั้นเอง สักกายะทิฎฐิคลายทันที
 
แต่ด้วยความไม่มีตัวรู้
เราจึงสำคัญตัวเรา
ที่เป็นผลพวงจากการเกิดและการดับ
ว่าเป็นตัวเรา เป็นหญิง เป็นชาย เป็นตัวกู เป็นต้น
 
เพราะเกิดความสำคัญผิดเพียงตัวเดียว
มันจึงเป็นต้นเหตุเกิดสภาวะสารพัดอย่าง
อันเป็นที่มาของทุกข์ทางจิตนั่นเอง
 
เพราะฉะนั้น ท่านถึงบอกให้ทำลายอัตตา
คือสักกายะทิฎฐินี้เอง

Direk Saksith
www.buddhayanando.com
f: พระพุทธยานันทภิกขุ, พลิกใจให้ตื่นรู้,
หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท, เซนสยาม,
Dynamic Meditation (นวัตกรรมแห่งสติ)