วิธีสารภาพบาปแบบวิถีพุทธ

๑. การปฏิบัติเจริญสติภาวนาได้ระยะหนึ่ง หากถูกต้อง จะพบญาณที่เรียกว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ คือเห็นอดีตของตนเอง ที่ไปทำดี ทำชั่ว ทำผิด ไปตกนรก เป็นเปรต อย่างไร จะเห็นหมด และพบว่าที่เราทำไป เป็นเพราะความไม่รู้ เมื่อพบแล้ว เข้าใจแล้ว ก็จะอยากที่จะสารภาพ นำมาบอก มาเล่า ให้ผู้รู้ฟัง เป็นการสารภาพบาปแบบวิถีพุทธ นั่นเอง และเมื่อรู้แล้ว ก็จะตามศึกษาเข้าไปๆ ก็จะเห็นญาณที่ 2 เรียกว่าการเกิดดับของจิต เป็นจุตูปปาญาณ การเกิดดับนี้ เพราะเราไม่รู้เท่าทัน

๒. เราจึงกระทำทุกอย่างตามการเกิดดับนี้ พระพุทธเจ้าพบสิ่งนี้ นำมาบอก หลวงพ่อเทียนได้ปฏิบัติและพิสูจน์แล้ว เห็นว่าจริง รับรองได้ หากเราปฏิบัติตามได้ เราจะไม่กลัวนรก สวรรค์เลย เพราะเรารู้ว่าต้นตอของอบายภูมิและ นรกคือโลภะและโทสะ ต้นตอของสวรรค์คือการให้ทานรักษาศีล ต้นตอของนิพพานคือการเจริญวิปัสสนาภาวนา

๓. เราจึงต้องเจริญสติภาวนาเพื่อเปลี่ยนโมหะอวิชชาให้เป็นนิพพาน ด้วยการเจริญสติวิปัสสนาก่อน เริ่มเก็บสติตั้งต้นด้วยการตามดูความรู้สึก ตั้งแต่ตื่นนอน ลุกขึ้น เก็บที่นอน เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แปรงฟัน ทำงาน การเดิน การนั่ง การหยิบ จับ ทำงาน ทุกอิริยาบถ ตามสังเกตดูกายดูใจไปตลอดทั้งวัน หากทำได้อย่างนี้ การดำเนินชีวิตประจำวันจะเป็นเรื่องที่สนุก ไม่เบื่อเลย เพราะได้อยู่กับปัจจุบันขณะ

๔. คนไทยส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา แต่เข้าใจพุทธศาสนาไปแต่เรื่องนอกกายนอกใจ ไม่เข้าถึงพุทธศาสนาที่แท้จริง กลายเป็นพราห์ม เป็นศาสนาอื่นไป ไปทำสมาธิแบบหลงๆ เข้าฌาน ติดสงบ ติดสุข เสียเป็นส่วนใหญ่ แท้จริงแล้ว พุทธศาสนา คือการหันมาศึกษากายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมของตนเอง เห็นชวิตนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ สิ่งมีค่าที่ต้องรู้รักษาใช้ไปในทางที่ถูกต้องที่สุด

๕ หลวงพ่อใช้วัดแพร่แสงเทียนเป็นสถานที่พิสูจน์สัจจธรรมที่วิเศษนี้ ด้วยการ พาพระ เณร ญาติ โยม ปฏิบัติเจริญสติ 15 วัน ทำงาน 15 วัน สลับกันไปทุกๆปี มาเป็นเวลานานแล้ว ได้ผลดีมาก พระ เณร ญาติ โยม สามารถพึ่งตนเองได้ มีทุกข์น้อยลงเรื่อยๆ เป็นจำนวนมาก ที่ปฏิบัติข้มแข็งดีแล้ว ก็แยกออกไปเผยแพร่ในที่ต่างๆ สร้างสำนักแนวปฏิบัติแบบแพร่แสงเทียน กระจายกันไปหลายแห่ง ทั้งยุโรปและอเมริกา จนกระทั้งปัจจุบัน เราก็ยังปฏิบัติกันอย่างเข้มแข็ง ไม่มีคนเก่า แต่เราทำตนให้เป็นผู้ปฏิบัติใหม่อยู่เสมอๆ